หุ้นไทยวันนี้ ปิดตลาดภาคเช้า +5.03 จุด ดัชนี SET อยู่ที่ระดับ 1,586 จุด

แฟ้มภาพ

การซื้อขายหลักทรัพย์ในตลาดหุ้นไทยวันนี้ (13 ม.ค.) ดัชนี SET Index ปิดตลาดภาคเช้า อยู่ที่ระดับ 1,585.66 จุด ปรับขึ้น +5.03 จุด หรือคิดเป็น +0.32% มีมูลค่าซื้อขายรวมทั้งสิ้น 34,472 ล้านบาท โดยเคลื่อนไหวในกรอบ 1,581.17-1,588.79 ตลอดช่วงเช้าที่ผ่านมา

หลักทรัพย์ที่มีมูลค่าการซื้อขายมากที่สุด 10 อันดับแรก ได้แก่

1. GPSC มูลค่าซื้อขาย 2,930.58 ล้านบาท ราคาหุ้น +2.50 (+2.67%)
2. GULF มูลค่าซื้อขาย 2,641.70 ล้านบาท ราคาหุ้น +13.50 (+7.63%)
3. BAM มูลค่าซื้อขาย 2,394.67 ล้านบาท ราคาไม่เปลี่ยนแปลง
4. CPALL มูลค่าซื้อขาย 1,410.75 ล้านบาท ราคาหุ้น -2.00 (-2.69%)
5. ADVANC มูลค่าซื้อขาย 1,168.07 ล้านบาท ราคาหุ้น -4.00 (-1.87%)
6. STEC มูลค่าซื้อขาย 1,079.75 ล้านบาท ราคาหุ้น +1.10 (+7.48%)
7. TOP มูลค่าซื้อขาย 1,072.27 ล้านบาท ราคาหุ้น -2.00 (-3.01%)
8. KBANK มูลค่าซื้อขาย 1,042.61 ล้านบาท ราคาหุ้น -1.00 (-0.73%)
9. BGRIM มูลค่าซื้อขาย 923.16 ล้านบาท ราคาหุ้น +2.75 (+4.76%)
10. CPF มูลค่าซื้อขาย 709.49 ล้านบาท ราคาหุ้น +0.50 (+1.71%)

ขณะที่ดัชนี SET50 ปรับขึ้น +3.21 จุด หรือ +0.30% อยู่ที่ 1,074.24 จุด ส่วนตลาด mai ปรับขึ้น +0.83 จุด หรือ +0.27% อยู่ที่ระดับ 304.58 จุด

บริษัทหลักทรัพย์ (บล.) กรุงศรี เปิดเผยแนวโน้มตลาดหุ้นไทยเช้าวันที่ 13 ม.ค.63 ว่า ฝ่ายวิจัยมีมุมมองเป็นกลาง โดยคาดว่าดัชนีตลาดหลักทรัพย์ SET (SET Index) จะแกว่งตัวในกรอบ 1,570 – 1,590 จุด แม้ว่าภาวะตลาดจะยังมีปัจจัยหนุนจากสถานการณ์ความตึงเครียดในตะวันออกกลางที่ผ่อนคลายลง รวมถึงสหรัฐกับจีนเตรียมลงนามข้อตกลงการค้าเฟสแรกในวันที่ 15 ม.ค.นี้ ซึ่งเป็นบวกต่อทิศทางการลงทุน

อย่างไรก็ตาม ราคาน้ำมันดิบที่ปรับตัวลงหลุดต่ำกว่า 60 ดอลลาร์/บาร์เรล จะเป็นแรงกดดันต่อหุ้นกลุ่มพลังงาน รวมถึงเม็ดเงินลงทุนต่างชาติ (Fund Flow) ยังคงชะลอตัวโดยล่าสุดเป็นการขายสุทธิ (Net Sell) 2 วันติดต่อกันราว 1.9 พันล้านบาท และการประกาศงบปี 2562 ของกลุ่มธนาคารในช่วง 2 สัปดาห์นี้คาดว่าจะยังคงชะลอตัว ปัจจัยลบเหล่านี้จะเป็นตัวฉุดให้ดัชนีแกว่งตัวผันผวน

ด้านกลยุทธ์การลงทุน แนะนำเลือกลงทุนรายตัว (Selective Buy) ในกลุ่มชิ้นส่วนอิเล็กทรอนิกส์ ได้แก่ HANA, KCE และ DELTA รับอานิสงส์สถานการณ์ตะวันออกกลางและสงครามการค้าผ่อนคลาย กลุ่มรับเหมาก่อสร้าง ได้แก่ STEC, CK และ SEAFCO ได้ประโยชน์จากการที่รัฐสภาผ่านร่างกฏหมายงบประมาณปี 2563 ในวาระที่ 2 และ 3

นอกจากนี้ ยังแนะนำกลุ่มปลอดภัย (Defensive) และกลุ่มที่คาดว่างบไตรมาส 4/62 จะออกมาดีและดีต่อเนื่องในปีนี้ ได้แก่ GPSC, GULF, CPF, SAWAD, MTC, JMT, BTS, BEM, INTUCH, ADVANC และ DTAC

ส่วนหุ้นเด่นแนะนำวันนี้ ได้แก่ CPALL (ราคาปิด 74.25 บาท แนะนำซื้อ/ราคาเป้าหมาย IAA Consensus 95.00 บาท) ได้บรรยากาศเชิงบวกจากข่าวภาครัฐเตรียมต่อมาตรการชิมช้อปใช้เฟสจากเฟส 3 เป็นเฟส 4 และเตรียมปรับเงื่อนไขโดยอนุญาติให้ผู้ประกอบการค้าปลีกสมัยใหม่ (Modern Trade) และร้านสะดวกซื้อเข้าร่วมได้ทุกสาขา โดยคาดว่า CPALL จะได้ประโยชน์มากที่สุด เนื่องจากมีสาขาครอบคลุมครบทุกพื้นที่ของประเทศจึงเข้าถึงประโยชน์ได้มากกว่า

ถัดมาแนะนำ TU (ราคาปิด 13.90 บาท ซื้อ/เป้า 18.10 บาท) สามารถทยอยสะสม โดยมองว่าโอกาสปรับลดลงเริ่มจำกัด (Downside Limit) หลังจากที่ราคาหุ้นลดลงสะท้อนปัจจัยลบไปมากแล้ว ขณะที่ทิศทางราคาทูน่าซึ่งเป็นวัตถุดิบหลักของ TU ยังทรงตัวอยู่ในระดับต่ำที่ 900 ดอลลาร์/ตัน เทียบกับช่วงเวลาเดียวกันปีก่อนที่ 1,400 ดอลลาร์/ตัน ส่งผลบวกโดยตรงต่อกำไรขั้นต้น (Margin) และผลกำไรของ TU