หุ้นไทยวันนี้ ปิดตลาดเช้า +1.53 จุด ดัชนี SET อยู่ที่ระดับ 1,588 จุด

แฟ้มภาพ

การซื้อขายหลักทรัพย์ในตลาดหุ้นไทยวันนี้ (14 ม.ค.) ดัชนี SET Index ปิดตลาดภาคเช้า อยู่ที่ระดับ 1,587.69 จุด ปรับขึ้น +1.53 จุด หรือคิดเป็น +0.10% มีมูลค่าซื้อขายรวมทั้งสิ้น 31,884 ล้านบาท โดยเคลื่อนไหวในกรอบ 1,585.33-1,592.84 ตลอดช่วงเช้าที่ผ่านมา

สำหรับหลักทรัพย์ที่มีมูลค่าการซื้อขายมากที่สุด 10 อันดับแรก ได้แก่

1. GULF มูลค่าซื้อขาย 1,965.87 ล้านบาท ราคาหุ้น +0.50 (+0.26%)
2. BEAUTY มูลค่าซื้อขาย 1,901.26 ล้านบาท ราคาหุ้น -0.04 (-1.39%)
3. GPSC มูลค่าซื้อขาย 1,442.09 ล้านบาท ราคาหุ้น -1.00 (-1.04%)
4. BAM มูลค่าซื้อขาย 1,402.44 ล้านบาท ราคาหุ้น -0.30 (-1.29%)
5. AOT มูลค่าซื้อขาย 1,332.46 ล้านบาท ราคาหุ้น +1.00 (+1.34%)
6. TOP มูลค่าซื้อขาย 1,315.02 ล้านบาท ราคาหุ้น -3.00 (-4.67%)
7. KBANK มูลค่าซื้อขาย 1,163.75 ล้านบาท ราคาหุ้น -2.50 (-1.84%)
8. EA มูลค่าซื้อขาย 772.20 ล้านบาท ราคาหุ้น +2.00 (+5.03%)
9. PTT มูลค่าซื้อขาย 728.26 ล้านบาท ราคาหุ้น -0.50 (-1.08%)
10. CPALL มูลค่าซื้อขาย 686.56 ล้านบาท ราคาหุ้น +1.00 (+1.39%)

ขณะที่ดัชนี SET50 ปรับขึ้น +0.25 จุด หรือ +0.02% อยู่ที่ 1,074.50 จุด ส่วนตลาด mai ปรับขึ้น +0.56 จุด หรือ +0.18% อยู่ที่ระดับ 305.36 จุด

บริษัทหลักทรัพย์ (บล.) กรุงศรี เปิดเผยแนวโน้มตลาดหุ้นไทยเช้าวันที่ 14 ม.ค.63 ว่า ฝ่ายวิจัยมีมุมมองเป็นกลางถึงบวก โดยคาดว่าดัชนีตลาดหลักทรัพย์ SET (SET Index) จะปรับตัวขึ้นปิดช่อง 1,593 จุด ก่อนจะสลับอ่อนตัว ตอบรับบรรยากาศเชิงบวกที่สหรัฐกับจีนเตรียมลงนามข้อตกลงการค้าเฟสแรกในวันพรุ่งนี้ (15 ม.ค.) รวมถึงสหรัฐประกาศถอดจีนออกจากรายชื่อประเทศที่บิดเบือนค่าเงิน นอกจากนี้ ปัจจัยบวกในประเทศเรื่องการผ่านร่างงบประมาณประจำปี 2563 ในวาระ 2 และ 3 จะหนุนความมั่นใจของนักลงทุนให้เป็นเปิดรับความเสี่ยง (Risk On)

อย่างไรก็ตาม คาดว่าดัชนีจะมีแรงขายสลับเข้ามาในกลุ่มน้ำมันและปิโตรเคมี หลังราคาน้ำมันดิบปรับตัวลงหลุดต่ำกว่า 59 ดอลลาร์/บาร์เรล จากสถานการณ์ตะวันออกกลางที่ผ่อนคลายลง รวมถึงความกังวลเม็ดลงต่างชาติ (Fund Flow) ที่ยังชะลอตัวโดยเป็นขายสุทธิ (Net Sell) 3 วันราว 2.1 พันล้านบาท ซึ่งจะกดดันให้ดัชนีสลับอ่อนตัวลง

ด้านกลยุทธ์การลงทุน แนะนำเลือกลงทุนรายตัว (Selective Buy) ในกลุ่มปลอดภัย (Defensive) และกลุ่มที่คาดว่างบไตรมาส 4/62 จะออกมาดีและดีต่อเนื่องในปีนี้ ได้แก่ GPSC, GULF, CPF, SAWAD, MTC, JMT, BTS, BEM, INTUCH, ADVANC และ DTAC กลุ่มชิ้นส่วนอิเล็กทรอนิกส์ ได้แก่ HANA, KCE และ DELTA รับอานิสงส์สถานการณ์ตะวันออกกลางและสงครามการค้าที่ผ่อนคลาย รวมถึงกลุ่มรับเหมาก่อสร้าง ได้แก่ STEC, CK และ SEAFCO อานิสงส์รัฐสภาผ่านร่างกฏหมายงบประมาณปี 2563 ในวาระที่ 2 และ 3

ส่วนหุ้นเด่นแนะนำวันนี้ ได้แก่ CPALL (ราคาปิดล่าสุด 71.75 บาท แนะนำซื้อ/เป้า IAA Consensus 95.00 บาท) โดยวานนี้ (13 ม.ค.) ราคาหุ้นลดลง 3% ขณะที่ปัจจัยพื้นฐานไม่ได้เปลี่ยนแปลง นอกจากนี้ ระยะสั้นยังได้บรรยากาศเชิงบวกบวกจากข่าวภาครัฐเตรียมต่อมาตรการชิมช้อปใช้เฟสจากเฟส 3 เป็นเฟส 4 และเตรียมปรับเงื่อนไขอนุญาติให้ผู้ประกอบการค้าปลีกสมัยใหม่ (Modern Trade) และร้านสะดวกซื้อเข้าร่วมได้ทุกสาขา ซึ่งคาดว่า CPALL ได้ประโยชน์มากสุดเพราะมีสาขาครอบคลุมทุกพื้นที่ของประเทศ

ถัดมาแนะนำ SPALI (ราคาปิด 19.00 บาท แนะนำซื้อ/เป้า 19.60 บาท) สามารถทยอยสะสมและเก็งกำไรจากข่าวที่กระทรวงดารคลังเตรียมเสนอแบงก์ชาติผ่อนคลายเกณฑ์คุมสินเชื่ออสังหาริมทรัพย์ (LTV) ให้กับบ้านหลังที่ 2 ซึ่งส่งผลบวกต่อผู้ประกอบการที่เน้นกลุ่มลูกค้าระดับกลางถึงล่าง โดยเฉพาะ SPALI ขณะเดียวกันบริษัทยังจ่ายปันผลสม่ำเสมอ โดยคาดว่าเงินปันผลที่จะจ่ายครึ่งปีหลังอยู่ที่ประมาณ 0.48 บาท หรือให้อัตราเงินปันผล (Dividend Yield) ประมาณ 2.5% (ทั้งปีคาดจ่าย 0.88 ให้ Dividend yield ประมาณ 5%)