หุ้นไทยวันนี้ ปิดตลาดเช้า -7.44 จุด ดัชนี SET อยู่ที่ระดับ 1,579 จุด

แฟ้มภาพ

การซื้อขายหลักทรัพย์ในตลาดหุ้นไทยวันนี้ (15 ม.ค.63) ดัชนี SET Index ปิดตลาดภาคเช้า อยู่ที่ระดับ 1,579.46 จุด ปรับลง -7.44 จุด หรือคิดเป็น -0.47% มีมูลค่าซื้อขายรวมทั้งสิ้น 36,366 ล้านบาท โดยเคลื่อนไหวในกรอบ 1,576.36-1,587.77 ตลอดช่วงเช้าที่ผ่านมา

หลักทรัพย์ที่มีมูลค่าการซื้อขายมากที่สุด 10 อันดับแรก ได้แก่

1. GPSC มูลค่าซื้อขาย 4,977.70 ล้านบาท ราคาหุ้น -4.25 (-4.39%)
2. BAM มูลค่าซื้อขาย 3,586.43 ล้านบาท ราคาหุ้น +1.10 (+4.82%)
3. GULF มูลค่าซื้อขาย 2,903.49 ล้านบาท ราคาหุ้น -6.50 (-3.33%)
4. BGRIM มูลค่าซื้อขาย 1,232.22 ล้านบาท ราคาหุ้น -0.50 (-0.80%)
5. KBANK มูลค่าซื้อขาย 1,146.87 ล้านบาท ราคาไม่เปลี่ยนแปลง
6. PTT มูลค่าซื้อขาย 907.01 ล้านบาท ราคาหุ้น -0.50 (-1.09%)
7. STEC มูลค่าซื้อขาย 781.82 ล้านบาท ราคาหุ้น +0.40 (+2.58%)
8. BBL มูลค่าซื้อขาย 612.64 ล้านบาท ราคาไม่เปลี่ยนแปลง
9. CPALL มูลค่าซื้อขาย 607.05 ล้านบาท ราคาหุ้น -0.50 (-0.68%)
10. ADVANC มูลค่าซื้อขาย 553.69 ล้านบาท ราคาหุ้น -1.00 (-0.47%)

ขณะที่ดัชนี SET50 ปรับลง -7.02 จุด หรือ -0.65% อยู่ที่ 1,067.02 จุด ส่วนตลาด mai ปรับลง -0.18 จุด หรือ -0.06% อยู่ที่ระดับ 304.35 จุด

บล.กรุงศรี กังวลทิศทางสงครามการค้าหลัง “ทรัมป์” เมินลดภาษีนำเข้าจีนยาวถึงช่วงเลือกตั้งเดือน พ.ย. ฝั่งตลาดหุ้นไทยยังได้รับแรงกดดันจากฟันด์โฟลว์ไหลออกสุทธิ 4 วันติดราว 3 พันล้านบาท กลุ่มแบงก์ประกาศกำไรกระทบดัชนีเคลื่อนไหวผันผวน

บริษัทหลักทรัพย์ (บล.) กรุงศรี เปิดเผยแนวโน้มตลาดหุ้นไทยเช้าวันที่ 15 ม.ค.63 ว่า ฝ่ายวิจัยมีมุมมองเป็นกลาง โดยคาดว่าดัชนีตลาดหลักทรัพย์ SET (SET Index) แกว่งตัวในกรอบ 1,580 – 1,593 จุด แม้ว่าจะมีปัจจัยบวกจากประเด็นสหรัฐกับจีนเตรียมลงนามข้อตกลงการค้าเฟสแรกในวันนี้ แต่มีกระแสข่าวว่าสหรัฐจะไม่ลดภาษีนำเข้าสินค้าจากจีนในปัจจุบันจนกระทั่งหลังการเลือกตั้งสหรัฐในช่วงเดือน พ.ย. จึงจะเริ่มทบทวนการปรับลดภาษีนำเข้าสินค้าจีนอีก 3.6 แสนล้านดอลลาร์ ส่งผลให้นักลงทุนมีความไม่มั่นใจในทิศทางการค้าระหว่างสหรัฐกับจีนในอนาคต

นอกจากนี้ กระแสเงินทุนของนักลงทุนต่างชาติ (Fund Flow) ที่ยังคงขายสุทธิ (Net Sell) ต่อเนื่อง 4 วันราว 3 พันล้านบาท รวมถึงความผันผวนของหุ้นกลุ่มธนาคารที่เข้าสู่ช่วงประกาศงบปี 2562 จะกดดันให้ดัชนีแกว่งตัวผันผวนสูง

ด้านกลยุทธ์การลงทุน แนะนำเลือกลงทุนรายตัว (Selective Buy) ในกลุ่มปลอดภัย (Defensive) ที่คาดว่างบไตรมาส 4/62 จะออกมาดีและดีต่อเนื่องในปีนี้ ได้แก่ GPSC, GULF, JMT , CPF, SAWAD, MTC, BTS, BEM, INTUCH, ADVANC และ DTAC กลุ่มโรงพยาบาล BCH CHG และ RJH อานิสงส์ประกันสังคมมีมติปรับขึ้นค่ารักษาพยาบาลแก่ผู้ประกันตนราว 8-10% กลุ่มเครื่องดื่ม OSP CBG HTC ICHI และ SAPPE อานิสงส์ภัยแล้งที่รุนแรงและยาวนานจนถึงกลางปี และกลุ่มชิ้นส่วนอิเล็กทรอนิกส์ HANA, KCE และ DELTA รับอานิสงส์สงครามการค้าผ่อนคลายและเงินบาทมีแนวโน้มอ่อนค่าลง

ขณะที่หุ้นเด่นแนะนำวันนี้ ได้แก่ BCH (ราคาปิดล่าสุด 16.00 บาท แนะนำซื้อ/เป้า IAA Consensus 20.00 บาท) ได้บรรยากาศเชิงบวกจากข่าวประกันสังคมปรับเพิ่มค่ารักษาพยาบาลขึ้น 10% โดยฝ่ายวิจัยมอง BCH และ CHG ได้ประโยชน์สูงสุดเพราะมีสัดส่วนลูกค้าประกันสังคมสูงสุดของกลุ่ม (ทุกๆ 1% ของรายได้ประกันสังคมที่เพิ่มขึ้นจะหนุนกำไรสุทธิของ BCH เพิ่มขึ้นประมาณ 1%)

ถัดมา CPF (ราคาปิดล่าสุด 29.25 บาท แนะนำซื้อ/เป้า 33.50 บาท) คาดทิศทางผลกำไรไตรมาส 4/62 และต่อเนื่องไปยังไตรมาส 1/63 จะยังดีต่อเนื่องตอบรับราคาหมูในประเทศฟื้นตัวขึ้นสู่ระดับ 73-74 บาท/กิโลกรัม เทียบจาก 55 บาท/กิโลกรัม ในช่วงไตรมาส 2 และไตรมาส 3 ปี 2562 เช่นเดียวกับราคาหมูเวียดนามที่ฟื้นตัวขึ้นกว่าเท่าตัวจากระดับ 33,000 ดอง/กิโลกรัม ขึ้นเป็น 80,000 ดอง/กิโลกรัม ในปัจจุบัน