จับสัญญาณลงทุนปีชวด “ทิสโก้” แนะลุยหุ้น “เอเชีย-EMs”

สัมภาษณ์

ปี 2563 นี้ เป็นอีกปีที่เต็มไปด้วยความท้าทายสำหรับการลงทุน โดยเพียงแค่สัปดาห์แรก นอกจากปัจจัยบวกจากสถานการณ์สงครามการค้าระหว่างสหรัฐกับจีนที่เริ่มคลี่คลายแล้ว ก็มีปัจจัยลบจากสถานการณ์ความขัดแย้งระหว่างสหรัฐกับอิหร่านที่เพิ่มเติมเข้ามา สร้างความปั่นป่วนให้กับนักลงทุน ทำให้ต้องติดตามสถานการณ์กันอย่างใกล้ชิด

ส่วนแนวโน้มช่วงที่เหลือของปีจะเป็นอย่างไร “สุพงศ์วร เมี้ยนโภคา” ผู้บริหารสายงานจัดการลงทุน บริษัทหลักทรัพย์จัดการกองทุน (บลจ.) ทิสโก้ จำกัด ได้ให้สัมภาษณ์สื่อมวลชน ดังต่อไปนี้

หุ้น “เอเชีย-EMs” มีโอกาส

“สุพงศ์วร” ประเมินว่า ปี 2563 จะเป็นโอกาสของตลาดหุ้นในภูมิภาคเอเชียและตลาดเกิดใหม่ (emerging markets หรือ EMs) หลังจากปี 2562 ที่ผ่านมา ตลาดหุ้นในกลุ่มประเทศพัฒนาแล้ว ต่างให้ผลตอบแทนที่ค่อนข้างสูง ส่งผลให้ราคาหุ้นในกลุ่มประเทศเหล่านี้ปรับขึ้นสูง และไม่น่าสนใจ ขณะที่ตลาดหุ้นเอเชียและตลาดเกิดใหม่ให้ผลตอบแทนที่ต่ำและราคาหุ้นยังไม่แพงมากนัก ซึ่งในปีนี้น่าจะได้รับอานิสงส์จากสงครามการค้าที่ผ่อนคลายและภาวะเศรษฐกิจที่ดีขึ้น

“ราคาหุ้นและอัตราส่วนราคาหุ้นต่อกำไรสุทธิ (P/E) ของตลาดกลุ่มประเทศพัฒนาแล้ว ตอนนี้แพงกว่ากลุ่มประเทศเอเชียและตลาดเกิดใหม่ไปแล้ว ดังนั้นการกลับมาเติบโตในปีนี้น่าจะมีศูนย์กลางอยู่ในตลาดเอเชียและตลาดเกิดใหม่เป็นหลัก”

เทียบผลตอบแทนหุ้นทั่วโลก

เขาบอกว่า ผลตอบแทนของตลาดหุ้นทั่วโลกในปี 2562 กระจุกอยู่ในตลาดของกลุ่มประเทศพัฒนาแล้ว เช่น US S&P500 อยู่ที่ 29%, Italy FTSE MIB 28%, France CAC40 26%, Germany DAX 25%, Europe Stoxx50 25%, Taiwan TWSE 23% และ Japan Nikkei 18% ส่วนตลาดหุ้นเอเชียและตลาดเกิดใหม่ให้ผลตอบแทนลดลงมา เช่น MSCI Far East ex Japan 16%, India Sensex 14%, China HSCEI 10%, HK HIS 9%, Korea KOSPI 8%, Philippines PCOMP 5% และ Indonesia JCI 2% ด้านตลาดหุ้นไทยให้ผลตอบแทนเพียง 1% ต่ำกว่าประเทศอื่นทั่วโลก

ขณะที่แนวโน้มกำไรต่อหุ้น (EPS) ของกลุ่มประเทศเกิดใหม่ที่มักถูกปรับลดประมาณการกำไรลงมาตลอด แต่ในปีนี้กิจกรรมทางเศรษฐกิจที่มีแนวโน้มดีขึ้นและราคาสินค้าโภคภัณฑ์ที่มีทิศทางเป็นบวก จะส่งผลให้มีการปรับเพิ่มคาดการณ์กำไรตามมา รวมถึงมีโอกาสที่จะเห็นเม็ดเงินไหลกลับเข้ามาลงทุนในกลุ่มประเทศพัฒนาแล้วได้อีกครั้งหนึ่ง โดยประเมินว่าเม็ดเงินที่เริ่มเข้ามาในตลาดเกิดใหม่ตั้งแต่ไตรมาส 4/62 จะเข้ามาชัดเจนมากขึ้นในต้นปี 2563

เศรษฐกิจประเทศเกิดใหม่ยังโตสูง

สำหรับเศรษฐกิจโลกปีนี้ “สุพงศ์วร” มองว่า ปัจจุบันเริ่มเห็นสัญญาณการฟื้นตัว โดยวัฏจักรการลดระดับของสินค้าคงคลัง (destocking) ที่เคยได้รับผลกระทบจากสงครามการค้ากำลังจะจบลง ส่งผลให้ในระยะข้างหน้าจะเกิดการสั่งซื้อสินค้าเพิ่มเติม (restocking) ซึ่งจะทำให้เกิดกิจกรรมทางเศรษฐกิจต่อไป ขณะที่อัตราเงินเฟ้อที่อยู่ต่ำและสภาพคล่องในระบบที่สูง ส่งผลให้ธนาคารกลางหลักต่าง ๆ ยังคงอัตราดอกเบี้ยไว้ในระดับต่ำ ซึ่งเป็นผลบวกต่อเศรษฐกิจ

“อย่างไรก็ตาม การเลือกตั้งสหรัฐปลายปีอาจสร้างความผันผวนให้กับตลาดหุ้นในอนาคต เนื่องจากปัจจุบันยังไม่สามารถวิเคราะห์ได้ว่า ตัวแทนผู้สมัครประธานาธิบดีของพรรคเดโมแครต พรรคคู่แข่งนายโดนัลล์ ทรัมป์ ผู้นำสหรัฐ จะมีนโยบายหาเสียงอย่างไร”

ทั้งนี้ บลจ.ทิสโก้คาดว่าเศรษฐกิจโลกปี 2563 จะเติบโต 3.1% เท่ากับปี 2562 ขณะที่เศรษฐกิจกลุ่มประเทศพัฒนาแล้ว คาดว่าจะโต 1.2% จากปี 2562 โต 1.6% ส่วนเศรษฐกิจกลุ่มประเทศเกิดใหม่คาดว่าจะเติบโตได้ดีที่ 4.4% จากปี 2562 โต 4.0%

“จากปัจจัยเรื่องของเศรษฐกิจ ผลตอบแทนจากตลาดหุ้น มูลค่าของตลาดหุ้น และปัจจัยสนับสนุนต่าง ๆ น่าจะส่งผลให้ตลาดเกิดใหม่ที่เติบโตไม่ค่อยโดดเด่นนัก (underperform) ตลอด 2 ปีที่ผ่านมา น่าจะกลับขึ้นมาโดดเด่น (outper-form) ได้อีกครั้งหนึ่ง”

ศก.ไทยฟื้นตัวช้า-บริโภคไม่ดี

อย่างไรก็ตาม “สุพงศ์วร” ชี้ว่า ประเทศไทยจะได้อานิสงส์จากเทรนด์การเติบโตของกลุ่มตลาดเกิดใหม่น้อยที่สุด โดยจะฟื้นตัวได้ช้ากว่าตลาดเกิดใหม่โดยรวม คาดว่าเศรษฐกิจไทยปี 2563 จะเติบโตเพียง 2.6% ใกล้เคียงกับปี 2562 ที่คาดว่าจะโต 2.5% โดยคาดหวังให้นโยบายและการลงทุนของภาครัฐเป็นเครื่องยนต์หลักที่ขับเคลื่อนเศรษฐกิจ ขณะที่การบริโภคของภาคเอกชนยังมีแนวโน้มไม่ดีนัก

แนะเลือกลงทุนกลุ่มหุ้นไทย

ส่วนของเป้าหมายดัชนีตลาดหลักทรัพย์ (SET index) ปี 2563 ประเมินไว้ที่ระดับ 1,650-1,740 จุด คาดว่าตลาดหุ้นไทยจะได้รับอานิสงส์เชิงบวกจากการที่มีเงินไหลเข้า (ฟันด์โฟลว์) มาลงทุนในตลาดหุ้นเอเชียและตลาดเกิดใหม่ รวมถึงได้รับปัจจัยหนุนจากการเบิกจ่ายงบประมาณปี 2563 ของภาครัฐในช่วงครึ่งปีแรกนี้โดยการลงทุนในตลาดหุ้นไทยปีนี้

“สุรพงศ์วร” บอกว่า ให้น้ำหนักการลงทุนในกลุ่มอาหาร, นิคมอุตสาหกรรม, ไฟแนนซ์, ปิโตรเคมี, สื่อสาร และชิ้นส่วนอิเล็กทรอนิกส์ สูงกว่าตลาด ส่วนกลุ่มพลังงาน, ธนาคาร, ท่องเที่ยว, การแพทย์, รับเหมาก่อสร้าง และขนส่ง ให้น้ำหนักเท่ากับตลาด ขณะที่กลุ่มอสังหาริมทรัพย์, ค้าปลีก, กลุ่มวัสดุก่อสร้าง และสาธารณูปโภค ให้น้ำหนักน้อยกว่าตลาด

ซึ่งในภาวะตลาดเช่นนี้ บลจ.ทิสโก้แนะนำลงทุนใน “กองทุนเปิด ทิสโก้ สแตรทิจิก ฟันด์ (TSF)” ที่เพิ่งได้รับรางวัลกองทุนหุ้นไทยผลตอบแทนอันดับ 1 ปี 2562 และได้รับการจัดอันดับ 5 ดาว จากมอร์นิ่งสตาร์ รวมถึงให้ผลตอบแทนอันดับ 1 ในกลุ่มกองทุนรวมหุ้นใหญ่ (equity large cap) ในช่วงเวลา 1 ปีที่ 16.14%, 3 ปีที่ 9.77% และ 5 ปีที่ 8.35%


อย่างไรก็ตาม นักลงทุนก็คงต้องติดตามสถานการณ์ต่าง ๆ อย่างต่อเนื่อง เพราะความผันผวนคงจะมีไปตลอดทั้งปี