“เจพีฯ” ลดประกันภัยรถยนต์ ตัดขาดทุน-เพิ่มน็อนมอเตอร์

“แท็กซี่-รถเมล์” เคลมพุ่ง “เจพีประกันภัย” ตัดพอร์ตขาดทุนร่วม 100 ล้านบาท หยุดรับประกัน-แจ้งลูกค้าไม่ต่ออายุ หวังกดลอสเรโชลดต่ำกว่า 65% ตั้งเป้าเบี้ยรวมปี”63 โต 50% ที่ 600 ล้านบาท ลดพึ่งพาโบรกฯ-เน้นขายผ่านออนไลน์มากขึ้น โดดจับมือ “Flash Express-J-Fintech” ออกโปรดักต์ รุกขยายพอร์ตน็อนมอเตอร์

นายฉัตรชัย ธนาฤดี ประธานเจ้าหน้าที่บริหารและกรรมการผู้จัดการใหญ่ บมจ.เจพี ประกันภัย (JP) เปิดเผยว่า ปีนี้บริษัทคาดว่าอัตราค่าสินไหมทดแทน (ลอสเรโช) ของพอร์ตประกันรถยนต์น่าจะลดลงจากปีที่แล้วที่ยังอยู่สูงกว่า 65% เกินกว่าค่าเฉลี่ยของตลาด เนื่องจากผลการรับประกันพอร์ตรถสาธารณะอย่างกลุ่มรถแท็กซี่และรถเมล์ที่เคลมสูง ทำให้บริษัทต้องตัดพอร์ตขาดทุนไปกว่า 100 ล้านบาท พร้อมทั้งหยุดรับประกันและแจ้งไม่ต่ออายุลูกค้าไปตั้งแต่เดือน พ.ค. 2562 ดังนั้น ลอสเรโชปีนี้จึงน่าจะลดลงได้

ขณะเดียวกันวางแผนลดการพึ่งพาช่องทางนายหน้าประกันภัย (โบรกเกอร์) เหลือ 60% จากปัจจุบันเป็นพอร์ตหลักเกิน 70% โดยจะคัดโบรกเกอร์ที่เข้าใจการขายผ่านออนไลน์และพฤติกรรมผู้บริโภคที่เปลี่ยนไปให้เหลือแค่ 100 บริษัท จากที่มีเกือบ 200 แห่ง เนื่องจากผลกระทบค่าการตลาดที่ค่อนข้างสูง การเพิ่มความคุ้มครองประกันรถยนต์ใหม่ที่ทำให้ลอสเรโชของบริษัทสูงขึ้น 6-7%

“ปีนี้เราโฟกัสให้ปิดการขายบนช่องทางออนไลน์เพิ่มขึ้น เพื่อขยับสัดส่วนของพอร์ตขึ้นเป็น 10% ในขณะที่ช่องทาง B2B เมื่อ 3-4 เดือนก่อนได้จับมือ exclusive partner กับ Flash Express ออกผลิตภัณฑ์ประกันคุ้มครองค่าขนส่งและประกันคุ้มครองสินค้าเสียหาย ขยายเบี้ยหนุนพอร์ตช่องทางนี้เพิ่มเป็น 20% ส่วนการทำงานร่วมกับกลุ่มเจมาร์ทที่เป็นผู้ถือหุ้นใหญ่ของบริษัท ได้ทยอยออกผลิตภัณฑ์ไปแล้ว ล่าสุดจับมือ J-fintech ออกประกันคุ้มครองสินเชื่อรถ แม้ขณะนี้ยังมีลูกค้าไม่ถึงหลักล้าน แต่เชื่อว่ายังมีอัพไซด์อีกมาก เพราะฐานลูกค้ากลุ่มเจมาร์ทมีกว่า 7-8 ล้านราย ซึ่งจะช่วยเพิ่มสัดส่วนของพอร์ตขึ้นมาเป็น 10% ได้ในปีนี้”

ทั้งนี้ ปี 2563 นี้ บริษัทคาดว่าเบี้ยประกันภัยรับรวมจะอยู่ที่ 600 ล้านบาท เติบโต 50% จากช่วงเดียวกันปีก่อนที่ทำได้ 398 ล้านบาท ซึ่งแผนปีนี้ต้องการเพิ่มสัดส่วนพอร์ตประกันที่ไม่ใช่รถ (น็อนมอเตอร์) เป็น 30% จาก 15% และลดพอร์ตรถยนต์ลงเหลือ 70% จาก 85%

“เราวางงบฯลงทุนไว้ประมาณ 5% ของรายได้ หรือประมาณ 30 ล้านบาท เน้นลงทุนเทคโนโลยีกับพัฒนาระบบ ซึ่งถือว่าไม่ได้สูงมาก ในไปป์ไลน์จะพัฒนาระบบบล็อกเชน ปัญญาประดิษฐ์ (AI) และ IOT (internet of things) ส่วนแผนรองรับระบบมาตรฐานบัญชีใหม่ (IFRS17) ขณะนี้อยู่ในช่วงการทำงานและพัฒนาระบบรองรับ”