เปิดโผหุ้นรับอานิสงส์ตรุษจีน พิษไวรัส”โคโรน่า”ระบาดฉุดกลุ่มท่องเที่ยว

เปิดโผหุ้นเด่นรับอานิสงส์ “ตรุษจีน” ปีชวด โบรกฯมอง “กลุ่มอาหาร” รับปัจจัยบวกระยะสั้น “กลุ่มท่องเที่ยว” เจอปัจจัยลบ “ไวรัสโคโรน่า” มากดดัน แถมหุ้น AOT ส่อได้รับผลกระทบด้วย “บล.ทิสโก้” แจงสถิติหุ้นจะพุ่งหลังตรุษจีน 2 สัปดาห์ขึ้นไปมากกว่า แนะถือหุ้น “ค้าปลีก” ทอดเวลานานขึ้น

นายชาญชัย พันทาธนากิจ ผู้จัดการฝ่ายกลยุทธ์การลงทุน บริษัทหลักทรัพย์ (บล.) เอเซีย พลัส เปิดเผย “ประชาชาติธุรกิจ” ว่า เทศกาลตรุษจีนปีนี้หุ้นที่ได้ประโยชน์จะเป็นกลุ่มส่งออกและกลุ่มอาหาร เนื่องจากการบริโภคเนื้อหมูและเนื้อไก่จะมากขึ้น บวกกับทิศทางราคาเนื้อหมูและเนื้อไก่ที่สูงขึ้น จึงเป็นแรงหนุนของหุ้นกลุ่มนี้ ในขณะที่หุ้นท่องเที่ยวและโรงแรมอาจถูกกดดันจากโรคระบาดไวรัสโคโรน่า ซึ่งเสี่ยงติดต่อจากคนสู่คน จึงทำให้หุ้นกลุ่มท่องเที่ยว รวมถึงหุ้น บมจ.ท่าอากาศยานไทย (AOT) จะไม่ได้ประโยชน์เหมือนกับปีที่ผ่าน ๆ มา

ทั้งนี้ บริษัทแนะนำหุ้นปลอดภัยที่สุด คือ บมจ.เจริญโภคภัณฑ์อาหาร (CPF) มีราคาเป้าหมายที่ 40 บาท คาดการณ์กำไรสุทธิปี 2562 อยู่ที่ 2.05 หมื่นล้านบาท เพิ่มขึ้น 32% เทียบช่วงเดียวกันปีก่อน และปี 2563 อยู่ที่ 2.15 หมื่นล้านบาท เติบโต 5% หากเก็งกำไรแนะนำ บมจ.ไทยฟู้ดส์ กรุ๊ป (TFG) ราคาเป้าหมายที่ 4.80 บาท คาดกำไรปี 2562 ที่ 1,509 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 113% และปี 2563 ที่ 1,754 ล้านบาท เติบโต 16.3%

นายอภิชาติ ผู้บรรเจิดกุล ผู้อำนวยการสายงานวิเคราะห์เชิงกลยุทธ์ บล.ทิสโก้ กล่าวว่า ปกติช่วงตรุษจีนการซื้อขายจะค่อนข้างเงียบเหงา เพราะตลาดหุ้นภูมิภาคหยุดทำการ แต่พอหลังผ่านเทศกาลไปแล้วสัก 2 สัปดาห์ ถ้าพิจารณาตามสถิติ ราคาหุ้นมักจะดีดตัวขึ้นประมาณ 0.8% และหลังตรุษจีนไปแล้ว 1 เดือน ตลาดหุ้นไทยมักจะปรับตัวขึ้นราว 2% และเมื่อผ่านช่วง 2 เดือนไปแล้วจะเพิ่มขึ้นราว 3.6% ซึ่งเป็นค่าเฉลี่ยย้อนหลังตั้งแต่ปี 2554 โดยนักลงทุนเริ่มกลับเข้าสู่ตลาด และที่สำคัญ แบงก์จะซื้อเก็งกำไรการประกาศงบฯและคาดหวังเงินปันผลประจำปี

โดยบริษัทคาดว่าหุ้นที่ได้รับอานิสงส์ คือ กลุ่มอาหาร จึงแนะนำ TFG ราคาเป้าหมายที่ 5.40 บาท คาดกำไรปี 2562 อยู่ที่ 1,618 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 149% และปี 2563 อยู่ที่ 2,068 ล้านบาท เติบโต 27% ส่วนกลุ่มค้าปลีก แนะนำ บมจ.ซีพี ออลล์ (CPALL) ราคาเป้าหมายที่ 95 บาท คาดกำไรปี 2562 อยู่ที่ 22,688 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 8% และปี 2563 อยู่ที่ 26,767 ล้านบาท เติบโต 18%

“หุ้นกลุ่มอาหารและกลุ่มค้าปลีกอาจจะไม่ได้มีนัยสำคัญในทางสถิติ เนื่องจากมักถูกหยิบยกมาในช่วงระยะสั้น ๆ โดยหุ้นกลุ่มค้าปลีกจะน่าสนใจ แต่ต้องทอดเวลาการลงทุนนานขึ้น” นายอภิชาติกล่าว

นางสาวธีรดา ชาญยิ่งยงค์ ผู้อำนวยการฝ่ายวิเคราะห์หลักทรัพย์ บล.ฟิลลิป (ประเทศไทย) กล่าวว่า ราคาเนื้อหมูทำสถิติสูงสุดในไตรมาส 4/2562 ดังนั้นกำไรกลุ่มหุ้นอาหารจะค่อนข้างดี และช่วงตรุษจีนเชื่อว่าน่าจะมีการบริโภคที่เพิ่มขึ้น จึงแนะนำหุ้น CPF ประเมินราคาเป้าหมายที่ 37.50 บาท คาดกำไรปี 2562 อยู่ที่ 20,976 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 35% และปี 2563 อยู่ที่ 21,674 ล้านบาท เติบโต 3.3%อีกกลุ่มจะเป็นหุ้นที่ได้อานิสงส์จากการจับจ่ายใช้สอยเครื่องเซ่นไหว้ แนะนำหุ้น บมจ.สยามแม็คโคร (MAKRO) ราคาเป้าหมายที่ 37 บาท คาดกำไรปี 2562 ที่ 5,868 ล้านบาท ลดลง -1.3% และปี 2563 ที่ 6,359 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 8.4% ส่วนการท่องเที่ยวในประเทศคงถูกกดดันจากไวรัสโคโรน่า จึงอาจเห็นนักท่องเที่ยวจีนเข้ามาน้อยลงกว่าปีก่อน ๆ

นายณัฐชาติ เมฆมาสิน ผู้ช่วยกรรมการผู้จัดการ ฝ่ายวิเคราะห์หลักทรัพย์ บล.ทรีนีตี้ กล่าวว่า หุ้นกลุ่มอาหารน่าจะเป็นเซ็กเตอร์ที่สามารถเคลื่อนไหวโดดเด่น (outperform) ได้ในระยะสั้น จากราคาเนื้อหมูในเวียดนามพุ่งสูงขึ้น และมีความต้องการบริโภคเนื้อสัตว์ในประเทศสูงขึ้นด้วย ส่วนกลุ่มค้าปลีกอาจจะฟื้นยาก เพราะการขายธุรกิจบริษัทเทสโก้จะเป็นตัวฟ้องถึงการแข่งขันในตลาดค้าปลีกไทยที่เริ่มเหนื่อยและยากขึ้น จากอุปสงค์ในประเทศเริ่มเปราะบาง เนื่องจากสิ่งที่ผู้ประกอบการใช้เป็นกลยุทธ์หลัก คือ การตัดราคา จึงทำให้มาร์จิ้นของกลุ่มลดน้อยลงไป

“เชื่อว่าหากผู้ประกอบการรายใดซื้อเทสโก้ไป ก็คงแข่งตัดราคามากขึ้นอีก ในแง่กำไรสุทธิ (bottom line) จึงยังมีดาวน์ไซด์อยู่เหมือนกัน แนะนำให้หลีกเลี่ยงไปก่อนได้ เช่นเดียวกับหุ้นกลุ่มท่องเที่ยวจากผลพวงไวรัสโคโรน่า แนะนำซื้อหุ้น CPF ที่ราคาเป้าหมาย 38 บาท คาดกำไรปี 2562 อยู่ที่ 1.7 หมื่นล้านบาท เพิ่มขึ้น 12.5% และปี 2563 กำไรสุทธิที่ 2.1 หมื่นล้านบาท เติบโต 20%” นายณัฐชาติกล่าว

ส่วนเชิงพื้นฐาน แนะนำหุ้น บมจ.ไทยยูเนี่ยน กรุ๊ป (TU) ราคาเป้าหมายที่ 19 บาท คาดกำไรสุทธิปี 2562 ที่ 3,700 ล้านบาท เติบโต 14% และปี 2563 กำไรสุทธิที่ 5,000 ล้านบาท เติบโต 35% เนื่องจากราคาทูน่าเริ่มดีขึ้น ทำให้ลูกค้าที่รับจ้างผลิต (OEM) ที่เคยชะลอการซื้อเริ่มกลับเข้ามา และโอกาสที่ค่าเงินบาทจะแข็งกว่านี้เป็นไปได้ยาก


ด้านนายธนวรรธน์ พลวิชัย อธิการบดีและประธานที่ปรึกษาศูนย์พยากรณ์เศรษฐกิจและธุรกิจ มหาวิทยาลัยหอการค้าไทย กล่าวว่า ตรุษจีนปีนี้ค่อนข้างเงียบเหงา เพราะเศรษฐกิจไม่ดีและเกิดภัยแล้งในหลายพื้นที่ ทำให้ประชาชนลดภาระค่าใช้จ่าย คาดว่าจะมีเงินสะพัดเพียง 5.76 หมื่นล้านบาท ลดลง 1.3% เป็นการขยายตัวติดลบครั้งแรกในรอบ 12 ปี โดยราคาเครื่องเซ่นไหว้ปรับตัวสูงขึ้น ส่วนใหญ่ประชาชนจะเน้นซื้อในตลาดนัดมากกว่าในห้างสรรพสินค้า