“เอสซีจีแพคเกจจิ้ง” ขายหุ้น 25% ใน UPPC ให้ Rengo ผนึกขยายฐานลูกค้า-เพิ่มยอดขายในฟิลิปปินส์

“เอสซีจีแพคเกจจิ้ง” ขายหุ้น 25% มูลค่ารวม 2,500 ล้านบาท ในบริษัท UPPC ที่ฟิลิปปินส์ให้กับบริษัท Rengo ของญี่ปุ่น โดยจะเป็นการจำหน่ายหุ้นออกใหม่อย่างมีเงื่อนไข เพื่อเพิ่มยอดขายและขยายฐานลูกค้าในประเทศฟิลิปปินส์-เสริมแกร่งของสายธุรกิจบรรจุภัณฑ์ของ SCGP ในภูมิภาคอาเซียน คาดธุรกรรมแล้วเสร็จในไตรมาส 2/63 พร้อมทั้งอยู่ระหว่างลงทุนขยายโรงงานเพื่อเพิ่มกำลังการผลิตจาก 230,000 ตันต่อปีเป็น 450,000 ตันต่อปี ตอบสนองอุปสงค์ในสินค้ากระดาษบรรจุภัณฑ์ จะแล้วเสร็จไตรมาส 4/63

นายรุ่งโรจน์ รังสิโยภาส กรรมการผู้จัดการใหญ่ บมจ.ปูนซิเมนต์ไทย หรือ SCC แจ้งตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย (ตลท.) ว่า บริษัท United Pulp and Paper Co., Inc. (UPPC) ในประเทศฟิลิปปินส์ ซึ่งบมจ.เอสซีจี แพคเกจจิ้ง (SCGP) ถือหุ้นในสัดส่วน 99.7% ได้เข้าทำสัญญาจำหน่ายหุ้นออกใหม่อย่างมีเงื่อนไขกับ Rengo Co., Ltd. ประเทศญี่ปุ่น (Rengo) มูลค่าประมาณ 2,500 ล้านบาท ซึ่งจะส่งผลให้สัดส่วนการถือหุ้นระหว่าง SCGP กับ Rengo ใน UPPC เป็น 74.7% : 25.0% ตามลำดับ

ทั้งนี้คาดว่าธุรกรรมดังกล่าวจะแล้วเสร็จในไตรมาส 2/63 โดย UPPC เป็นผู้ผลิตกระดาษบรรจุภัณฑ์ชั้นนำในประเทศฟิลิปปินส์ มียอดขาย 9 เดือนแรกของปี 2562 รวมประมาณ 3,920 ล้านเปโซ (หรือประมาณ 2,361 ล้านบาท) และอยู่ระหว่างการลงทุนขยายโรงงานเพื่อเพิ่มกำลังการผลิตจาก 230,000 ตันต่อปีเป็น 450,000 ตันต่อปี เพื่อตอบสนองอุปสงค์ในสินค้า กระดาษบรรจุภัณฑ์ที่เพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่องในประเทศฟิลิปปินส์ คาดว่าจะแล้วเสร็จในไตรมาส 4/63

ขณะที่ Rengo เป็นผู้ผลิตบรรจุภัณฑ์ชั้นนำในประเทศญี่ปุ่น มีความเชี่ยวชาญด้านเทคนิคเป็นอย่างสูงและมีความสัมพันธ์ทางธุรกิจกับ SCGP มายาวนานกว่า 30 ปี การเข้าร่วมพันธมิตรทางธุรกิจกับ Rengo ครั้งใหม่นี้จะเพิ่มโอกาสของ UPPC ในการเพิ่มยอดขายและขยายฐานลูกค้าในประเทศฟิลิปปินส์ รวมทั้งเสริมสร้างความแข็งแกร่งของสายธุรกิจบรรจุภัณฑ์ของ SCGP ในภูมิภาคอาเซียนอีกด้วย ธุรกรรมดังกล่าวเป็นการจำหน่ายไปซึ่งสินทรัพย์ (โดยวิธีการจำหน่ายหุ้นออกใหม่) ซึ่งมีขนาดรายการเท่ากับ 0.41% ของมูลค่าของสินทรัพย์รวมตามงบการเงินรวมของ SCC สิ้นสุด ณ วันที่ 30 ก.ย.62 โดยเมื่อรวมกับรายการจำหน่ายไปซึ่งสินทรัพย์ที่เกิดขึ้นในระหว่าง 6 เดือนก่อนวันที่มีการเข้าทำรายการนี้จะเท่ากับ 5.13%

ดังนั้น การรายงานสารสนเทศข้างต้นจึงไม่เข้าข่ายที่จะต้องปฏิบัติตามเกณฑ์ของตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทยในเรื่องการได้มาหรือจำหน่ายไปซึ่งสินทรัพย์และไม่ใช่รายการที่เกี่ยวโยงกัน