ศูนย์วิจัยกสิกรไทยคาดการส่งออกรถยนต์ไทย ปี’63 ส่อหดตัวไม่น้อยกว่า 3% เหตุไวรัสโคโรน่ากระทบเศรษฐกิจคู่ค้า

ศูนย์วิจัยกสิกรไทย ออกบทวิเคราะห์แนวโน้มการส่งออกรถยนต์โดยรวมของไทยในปี 2563 นี้ ว่าอาจจะอยู่ในระดับหดตัวลงจากปีที่แล้ว ด้วยผลกระทบจากปัจจัยลบต่างๆทั้งปัญหาเศรษฐกิจเดิมที่ต่อเนื่องมาจากปีที่แล้ว รวมถึงการที่ออสเตรเลียคู่ค้าหลักไทยต้องเผชิญกับปัญหาไฟป่า แม้ว่าจะมีปัจจัยบวกจากการที่ค่าเงินบาทน่าจะมีทิศทางไม่แข็งค่าเท่าปีที่แล้ว นอกจากนี้ ปัจจุบันปัญหาใหม่จากการระบาดของไวรัสโคโรน่า มีแนวโน้มที่อาจกระทบต่อภาคการท่องเที่ยวในประเทศคู่ค้าไทยหลายประเทศ โดยเฉพาะ เวียดนามและฟิลิปปินส์ ทำให้ผลกระทบต่อการส่งออกรถยนต์ของไทยปี 2563 ทวีความรุนแรงขึ้น

โดยในกรณีที่ 1 หากทางการจีนสามารถควบคุมการแพร่ระบาดของไวรัสโคโรน่าในประเทศได้ภายใน 1 เดือน รวมทั้งไม่มีการระบาดในต่างประเทศ ไทยน่าจะส่งออกรถยนต์ได้ 1,005,000 ถึง 1,025,000 คัน หรือหดตัวลงกว่าร้อยละ 3 ถึง 5 จากปีที่แล้ว แต่ในกรณีที่ 2 หากการระบาดของเชื้อไวรัสโคโรน่าในจีนขยายระยะเวลาเป็นประมาณ 1 ถึง 3 เดือน และยังไม่มีการแพร่ระบาดในต่างประเทศ คาดว่าการส่งออกรถยนต์ไทยจะหดตัวร้อยละ 5 ถึง 7 คิดเป็นตัวเลขส่งออก 985,000 ถึง 1,005,000 คัน

ทั้งนี้ ปี 2563 อาจเป็นอีกปีที่ยากลำบากสำหรับการส่งออกรถยนต์ของไทย โดยนอกเหนือจากสงครามการค้าโลกที่อาจทวีความรุนแรงขึ้นใหม่ได้อีก และความขัดแย้งระหว่างสหรัฐฯและอิหร่านที่อาจเป็นประเด็นทำให้ราคาน้ำมันพุ่งขึ้นได้ ซึ่งคาดว่าอาจจะมีโอกาสส่งผลกระทบต่อเศรษฐกิจโลกโดยรวม รวมถึงการที่ออสเตรเลียคู่ค้าอันดับ 1 ของไทยต้องเผชิญกับปัญหาไฟป่ารุนแรงที่กระทบต่อกำลังซื้อของประชากรเพิ่มเติมจากปัญหาเศรษฐกิจในประเทศที่ยังไม่จบและกดดันต่อจากปีที่แล้ว

ตั้งแต่ต้นปี 2563 มาทั่วโลก โดยเฉพาะประเทศคู่ค้าหลักตลาดส่งออกรถยนต์ของไทยหลายประเทศกำลังต้องเผชิญกับปัญหาใหม่กันถ้วนหน้า คือ เหตุการณ์การระบาดของไวรัสโคโรน่าสายพันธุ์ใหม่ในจีนที่ยังไม่รู้ว่าจะยืดเยื้อยาวนานแค่ไหน แต่อาจส่งผลกระทบต่อห่วงโซ่อุปทานในหลายๆอุตสาหกรรมทั่วโลกได้ในระยะข้างหน้า และในระยะสั้นนี้ก็ได้ส่งผลกระทบต่อภาคการท่องเที่ยวไปเรียบร้อยแล้วในหลายประเทศ เนื่องจากชาวจีนถือเป็นนักท่องเที่ยวอันดับต้นๆในแต่ละประเทศ และผลของการแพร่ระบาดของไวรัสดังกล่าวย่อมส่งผลกระทบทางอ้อมมายังการส่งออกรถยนต์ของไทยอย่างไม่อาจเลี่ยง ดังจะกล่าวถึงในรายละเอียดต่อไปนี้

โคโรน่าไวรัสทำนักท่องเที่ยวจีนหดหาย…กระทบรายได้ประเทศคู่ค้าไทย กดส่งออกรถยนต์ปี 63 หดตัว
ภายหลังจากเกิดข่าวการระบาดของเชื้อไวรัสโคโรน่าสายพันธุ์ใหม่ในเมืองอู่ฮั่นประเทศจีน และเกิดการประกาศห้ามไม่ให้ประชาชนชาวจีนเดินทางออกนอกประเทศ ทั้งที่เป็นช่วงเทศกาลตรุษจีนอันสำคัญและมักจะมีการออกเดินทางท่องเที่ยวและใช้จ่ายเงินของชาวจีนจำนวนมากในหลายๆประเทศ เพื่อหยุดยั้งการระบาดไปยังต่างประเทศให้มากที่สุด ขณะเดียวกันหลายประเทศเองก็มีมาตรการเพื่อป้องกันการระบาดในประเทศ เช่น การประกาศไม่ให้พลเมืองจีนเข้าประเทศเป็นการชั่วคราว เป็นต้น การดำเนินมาตรการป้องกันการแพร่กระจายของเชื้อไวรัสดังกล่าวย่อมก่อให้เกิดผลกระทบต่อรายได้จากการท่องเที่ยวในแต่ละประเทศอย่างไม่อาจเลี่ยง

โดยจากการศึกษาข้อมูลของศูนย์วิจัยกสิกรไทยพบว่า หลายประเทศที่ไทยส่งออกรถยนต์ไปเป็นมูลค่าสูง ซึ่งโดยส่วนใหญ่เป็นประเทศในแถบภูมิภาคเอเชียแปซิฟิกอันมีที่ตั้งอยู่ใกล้จีนนั้น มีโอกาสได้รับผลกระทบสูงพอสมควรจากการรายได้ภาคการท่องเที่ยวที่จะลดลงจากเหตุการณ์การควบคุมการแพร่ระบาดของไวรัสโคโรน่า เนื่องจากประเทศเหล่านี้พึ่งพิงปริมาณนักท่องเที่ยวจีนในระดับที่สูงพอสมควร และรายได้จากการท่องเที่ยวในบางประเทศยังมีผลต่อระดับเศรษฐกิจโดยรวมในประเทศค่อนข้างมาก ซึ่งก็จะมีอิทธิพลต่อกำลังซื้อของคนส่วนใหญ่ในประเทศ อันจะส่งผลกระทบทางอ้อมต่อการส่งออกรถยนต์ของไทยตามมา เนื่องจากรถยนต์จัดอยู่ในกลุ่มสินค้าฟุ่มเฟือย

อนึ่ง แม้ว่ากลุ่มประเทศที่ศูนย์วิจัยกสิกรไทยคาดว่าจะได้รับผลกระทบอย่างมากต่อการท่องเที่ยวจากเหตุการณ์การระบาดของไวรัสโคโรน่า คือ ญี่ปุ่น เวียดนาม และฟิลิปปินส์ เนื่องจากมีสัดส่วนนักท่องเที่ยวจีนที่สูง และ/หรือมีสัดส่วนรายได้จากการท่องเที่ยวต่อจีดีพีสูง อย่างไรก็ตาม หากพิจารณาถึงผลกระทบต่อการส่งออกของไทยแล้วพบว่า การส่งออกรถยนต์ไทยไปเวียดนามกับฟิลิปปินส์น่าจะได้รับผลกระทบมากที่สุด เนื่องจากทั้ง 2 ประเทศเป็นคู่ค้าหลักอันดับ 2 และ 3 ของไทย เมื่ออุตสาหกรรมการท่องเที่ยวซึ่งมีผลต่อกำลังซื้อของผู้บริโภคได้รับผลกระทบทำให้ปริมาณการนำเข้ารถยนต์จากไทยมีโอกาสที่จะลดลงได้มาก

อย่างไรก็ตาม ออสเตรเลียที่เป็นคู่ค้าอันดับ 1 ของไทยด้วยสัดส่วนการนำเข้าที่สูงถึง 1 ใน 3 ของมูลค่าการนำเข้าทั้งหมด แม้จะได้รับผลกระทบจากการแพร่ระบาดของไวรัสโคโรน่าต่ออุตสาหกรรมการท่องเที่ยวน้อยกว่าประเทศอื่น แต่ออสเตรเลียมีประเด็นต่อเนื่องจากปีที่แล้ว คือ ปัญหาไฟป่าครั้งรุนแรงซึ่งส่งผลกระทบต่อเศรษฐกิจโดยรวมโดยเฉพาะภาคเกษตรกรรมและการท่องเที่ยวด้วย น่าจะเป็นอีกประเด็นที่ทำให้การส่งออกไปออสเตรเลียลดลงได้อย่างไม่อาจเลี่ยง

จากสถานการณ์ดังกล่าว ศูนย์วิจัยกสิกรไทย ได้คาดการณ์ถึงผลกระทบที่อาจจะเกิดขึ้นต่อการส่งออกรถยนต์ของไทยไปยังประเทศคู่ค้า อันเป็นผลจากการที่อุตสาหกรรมการท่องเที่ยวในแต่ละประเทศได้รับผลกระทบจากการแพร่ระบาดของไวรัสโคโรน่า ที่ทำให้นักท่องเที่ยวจีนไม่สามารถเดินทางออกจากประเทศตัวเองได้โดยปกติ รวมถึงอาจโดนมาตรการจากต่างประเทศที่ไม่อนุญาตให้เข้าประเทศต่างๆด้วย ซึ่งบางประเทศได้เริ่มมีมาตรการดังกล่าวออกมาแล้ว โดยการคาดการณ์ได้แบ่งตามระยะเวลาของความสามารถในการควบคุมการแพร่ระบาดโรคของจีนไว้ 2 กรณี ดังต่อไปนี้

-กรณีที่ 1 หากทางการจีนสามารถควบคุมการแพร่ระบาดของไวรัสโคโรน่าในประเทศได้ภายใน 1 เดือน รวมทั้งไม่มีการระบาดในต่างประเทศ น่าจะทำให้ผลกระทบต่ออุตสาหกรรมการท่องเที่ยวในประเทศคู่ค้าอยู่ในวงจำกัด ส่งผลให้ศูนย์วิจัยกสิกรไทยคาดว่าไทยน่าจะส่งออกรถยนต์ได้ 1,005,000 ถึง 1,025,000 คัน หรือหดตัวลงกว่าร้อยละ 3 ถึง 5 จากปี 2562ที่ส่งออกได้ 1,054,103 คัน

-กรณีที่ 2 หากการระบาดของเชื้อไวรัสโคโรน่าในจีนขยายระยะเวลาเป็นประมาณ 1 ถึง 3 เดือน และยังไม่มีการแพร่ระบาดในต่างประเทศ ผลกระทบที่เกิดขึ้นต่อเศรษฐกิจของประเทศคู่ค้าไทยย่อมขยายวงกว้างมากขึ้น เมื่อการแพร่ระบาดอาจกระทบต่อเนื่องไปยังภาคเศรษฐกิจอื่นๆนอกเหนือจากภาคการท่องเที่ยว เช่น ภาคการผลิตอุตสาหกรรม ทำให้การคำนวณผลกระทบที่จะเกิดขึ้นมีความซับซ้อนของตัวแปรจำนวนมากที่จะต้องนำมาพิจารณา อย่างไรก็ตาม ในเบื้องต้นหากพิจารณาเฉพาะผลที่เกิดต่อภาคการท่องเที่ยวของประเทศคู่ค้าแล้วนั้น ศูนย์วิจัยกสิกรไทยคาดว่าปริมาณการส่งออกรถยนต์ไทยจะหดตัวร้อยละ 5 ถึง 7 คิดเป็นตัวเลขส่งออก 985,000 ถึง 1,005,000 คัน

อย่างไรก็ตาม ตัวเลขคาดการณ์ดังกล่าว พิจารณาเฉพาะผลกระทบที่เกิดจากอุตสาหกรรมการท่องเที่ยวที่น่าจะได้รับความเสียหายเท่านั้น โดยยังไม่คำนวณถึงผลกระทบในแง่มุมอื่น ซึ่งหากความรุนแรงของเหตุการณ์ได้นำไปสู่ความชะงักงันของการผลิตในภาคเศรษฐกิจต่างๆของประเทศจีนแล้ว ย่อมมีผลเชื่อมโยงมาสู่ภาคการผลิตในประเทศต่างๆซึ่งอยู่ในห่วงโซ่อุปทานการผลิตสินค้าของจีนด้วย ก็อาจทำให้ผลกระทบต่อการส่งออกสูงกว่าที่คาดเอาไว้ได้ โดยต้องติดตามผลกระทบต่อการส่งออกเป็นระยะ

ไม่เพียงเท่านี้ผลกระทบที่เกิดขึ้นจากการท่องเที่ยวที่หดตัวลงในแต่ละประเทศยังอาจส่งผลทางอ้อมมาสู่การส่งออกชิ้นส่วนรถยนต์ OEM ของไทยด้วย เมื่อการผลิตรถยนต์ในหลายประเทศผู้ผลิต เช่น ญี่ปุ่น อินโดนีเซีย มาเลเซีย เป็นต้น อาจต้องหดลงไป เมื่อยอดขายรถยนต์ทั้งในประเทศผู้ผลิตรถยนต์และประเทศที่นำเข้ารถยนต์แต่ละประเทศต่างได้รับผลกระทบจากรายได้ภาคการท่องเที่ยวที่คาดว่าน่าจะหดตัวลงถ้วนหน้า

โดยสรุป ศูนย์วิจัยกสิกรไทยมองว่า การส่งออกรถยนต์ของไทยในปัจจุบันมีปัจจัยเสี่ยงที่เข้ามากระทบหลากหลายมากขึ้นกว่าในอดีต โดยนอกจากปัจจัยเดิมตามการเปลี่ยนแปลงของวัฏจักรเศรษฐกิจโลก และปัจจัยกดดันจากภัยธรรมชาติอันไม่คาดคิดแล้ว ขณะนี้ปัจจัยสำคัญที่ไม่อาจมองข้ามคือการแพร่ระบาดของเชื้อไวรัสโคโรน่าสายพันธุ์ใหม่ซึ่งคาดว่าจะกระทบอย่างหนักต่ออุตสาหกรรมท่องเที่ยวในประเทศคู่ค้าของไทย ซึ่งน่าจะส่งผลต่อการส่งออกรถยนต์ของไทยอย่างไม่อาจเลี่ยง นอกจากนี้ ยังมีปัจจัยเสี่ยงที่มีความไม่แน่นอนสูง กรณีฟิลิปปินส์อาจพิจารณาปรับขึ้นภาษีนำเข้ารถยนต์จากไทยเพื่อตอบโต้กรณีพิพาทภาษีบุหรี่นำเข้าระหว่างกันในช่วงไตรมาสแรกของปี 2563 นี้ด้วยที่ต้องติดตามอย่างใกล้ชิด

อย่างไรก็ตาม การที่ค่าเงินบาทของไทยมีแนวโน้มจะไม่แข็งค่าขึ้นไปเท่ากับปีที่ผ่านมา ก็ช่วยส่งให้ไทยยังมีความหวังอยู่บ้างในบางตลาด โดยตลาดส่งออกรถยนต์บางแห่งที่คาดว่าน่าจะยังขยายตัวได้ดีในส่วนของรถหรูจากไทยไปจีนก็มีแนวโน้มจะขยายตัวดีขึ้นอย่างต่อเนื่อง โดยแม้ว่าจีนจะโดนผลกระทบจากการแพร่ระบาดของไวรัสโคโรน่าสายพันธุ์ใหม่ แต่การที่ค่ายรถหรูสัญชาติตะวันตกต่างย้ายฐานเข้ามาลงทุนผลิตในไทยมากขึ้นเพื่อส่งออกไปจีนหลังสงครามการค้าทำให้ต้นทุนการส่งออกรถหรูจากสหรัฐฯไปจีนเพิ่มขึ้น ทำให้ไทยผลิตรถประเภทดังกล่าวเพื่อส่งออกไปได้มากขึ้น แต่ผลกระทบจากการแพร่ระบาดของไวรัสโคโรน่าก็อาจทำให้การส่งออกไม่ได้เพิ่มสูงขึ้นไปมากอย่างที่เคยมองไว้ ทั้งนี้ขึ้นอยู่กับระยะเวลาของผลกระทบ ส่วนตลาดส่งออกปิกอัพไปตะวันออกกลางยังสามารถขยายตัวได้ตามทิศทางราคาน้ำมันที่ฟื้นตัวขึ้น