โบรกฯ ชี้หุ้นไทยขาดปัจจัยหนุนใหม่ ประเมินดัชนีเคลื่อนไหวในกรอบ 1,515-1,535 จุด

บริษัทหลักทรัพย์ (บล.) กรุงศรี เปิดเผยแนวโน้มตลาดหุ้นไทยเช้าวันที่ 12 ม.ค.63 ว่า ฝ่ายวิจัยมีมุมมองเป็นกลาง โดยคาดว่าดัชนีตลาดหลักทรัพย์ SET (SET Index) จะแกว่งตัวในกรอบ 1,515 – 1,535 จุด เนื่องจากภาวะตลาดขาดปัจจัยใหม่สนับสนุนการลงทุน แม้ว่าจะได้ข่าวบวกจากจำนวนผู้ติดเชื้อไวรัสโคโรน่า (Covid-19) เริ่มชะลอตัวลงและเชื่อมั่นว่าการแพร่ระบาดจะเบาบางลงในช่วงถัดไป ประกอบกับสถานการณ์สงครามการค้าระหว่างสหรัฐกับจีนที่ผ่อนคลายลงหลังจีนเตรียมลดภาษีสินค้านำเข้าจากสหรัฐ 7.5 หมื่นล้านดอลลาร์สหรัฐ โดยจะมีผล 14 ก.พ.นี้

อย่างไรก็ตาม คาดว่านักลงทุนจะยังคงชะลอการซื้อขายเพื่อติดตามการประกาศงบปี 2562 ของบริษัทจดทะเบียน (บจ.) ประกอบกับความกังวลเม็ดเงินลงทุนต่า (Fund Flow) ที่ยังคงชะลอตัวจะเป็นแรงกดดันให้ทิศทางดัชนีมีความผันผวนในระยะนี้ ทั้งนี้ ปัจจัยที่ต้องติดตาม คือ วันที่ 13 ก.พ. ติดตามสภาฯ โหวต พ.ร.บ.งบประมาณปี 2563 วาระ 2 และ 3 ใหม่

ด้านกลยุทธ์การลงทุนแนะนำเลือกลงทุนรายตัว (Selective Buy) ในกลุ่มไฟแนนซ์ ได้แก่ MTC และ SAWAD ได้อานิสงส์ต้นทุนการเงินลดลงหลังคณะกรรมการนโยบายการเงิน (กนง.) ลดดอกเบี้ยนโยบาย 0.25% กลุ่มส่งออกชิ้นส่วนอิเล็กทรอนิกส์ ได้แก่ KCE, HANA และ DELTA รวมถึงกลุ่มส่งออกอาหาร ได้แก่ CPF และ TU ได้อานิสงส์ทิศทางเงินบาทอ่อนค่า และสุดท้ายกลุ่มพลังงาน ได้แก่ TOP, PTTGC และ SPRC ได้อานิสงส์ค่าการกลั่นพลิกเป็นบวก

ในส่วนของหุ้นแนะนำวันนี้ ได้แก่ CK (ราคาปิดล่าสุด 21.30 บาท แนะนำซื้อ/เป้า IAA Consensus 25.50 บาท) ได้บรรยากาศเชิงบวก (Sentiment) หลังศาลรัฐธรรมนูญตัดสินให้ร่าง พ.ร.บ.งบประมาณปี 2563 ไม่เป็นโมฆะซึ่งส่งผลดีต่อหุ้นกลุ่มรับเหมา โดยฝ่ายวิจัยเลือก CK เป็นหุ้นเด่น (Top Pick) เนื่องจากผลประกอบการผันผวนน้อยสุดของกลุ่ม เพราะมีเงินลงทุนในบริษัทลูกซึ่งส่วนใหญ่อยู่ในธุรกิจโครงสร้างพื้นฐาน อาทิ รถไฟฟ้า ทางด่วน (BEM) น้ำประปา (TTW) และโรงไฟฟ้า (CKP) จึงมีความมั่นคงของผลประกอบการมากกว่าผู้ประกอบการรายอื่นที่เน้นธุรกิจรับเหมาก่อสร้างเพียงอย่างเดียว


ถัดมาแนะนำ TU (ราคาปิด 15.30 บาท ซื้อ/เป้า 17.50 บาท) โดยชี้ว่าค่าเงินบาทอ่อนค่าเมื่อเทียบกับดอลลาร์และยูโรจะส่งผลบวกโดยตรงต่อธุรกิจของ TU ที่มีรายได้หลักมาจากการส่งออกคิดเป็น 75% ของรายได้รวม โดยทุกๆ 1 บาทที่ค่าเงินบาทอ่อนค่าเมื่อเทียบกับยูโรจะทำให้กำไรของ TU เพิ่มขึ้นประมาณ 600 -700 ล้านบาท