“บล.กรุงศรี” เชียร์ซื้อหุ้นรับเหมา-นิคมอานิสงส์สภาฯ โหวตงบปี’63 วันนี้

บริษัทหลักทรัพย์ (บล.) กรุงศรี เปิดเผยแนวโน้มตลาดหุ้นไทยเช้าวันที่ 13 ม.ค.63 ว่า ฝ่ายวิจัยมีมุมมองเป็นกลาง โดยคาดดัชนีตลาดหลักทรัพย์ SET (SET Index) จะแกว่งตัวในกรอบ 1,515 – 1,535 จุด เนื่องจากภาวะตลาดขาดปัจจัยใหม่สนับสนุนการลงทุน แม้ว่าจะได้ข่าวบวกจากจำนวนผู้ติดเชื้อไวรัสโคโรนา (Covid-19) เริ่มชะลอตัวลงและเชื่อมั่นว่าการแพร่ระบาดจะเบาบางลงในช่วงถัดไป ประกอบกับสถานการณ์สงครามการค้าระหว่างสหรัฐกับจีนที่ผ่อนคลายลงหลังจีนเตรียมลดภาษีสินค้านำเข้าจากสหรัฐ 7.5 หมื่นล้านดอลลาร์มีผล 14 ก.พ.นี้

อย่างไรก็ตาม คาดว่านักลงทุนจะยังคงชะลอการซื้อขายเพื่อติดตามการประกาศงบ 2562 ของบริษัทจดทะเบียน (บจ.) ประกอบกับความกังวลเม็ดเงินลงทุนต่างชาติ (Fund Flow) ที่ยังคงชะลอตัวจะเป็นแรงกดดันให้ทิศทางดัชนีมีความผันผวนในระยะนี้ ทั้งนี้ จะต้องติดตามการพิจารณา พ.ร.บ.งบประมาณปี 2563 วาระ 2 และ 3 ใหม่ในวันนี้

ด้านกลยุทธ์การลงทุน แนะนำเลือกลงทุนรายตัว (Selective Buy) ในกลุ่มรับเหมา ได้แก่ STEC CK และ SEAFCO และกลุ่มนิคม ได้แก่ AMATA และ WHA โดยแนะนำเก็งข่าวการโหวต พ.ร.บ.งบปี 2563 วาระ 2 และ 3 รอบใหม่ ขณะที่กลุ่มพลังงาน ได้แก่ TOP PTTGC และ SPRC อานิสงส์ค่าการกลั่นพลิกเป็นบวก นอกจากนี้ แนะนำกลุ่มไฟแนนซ์ ได้แก่ MTC SAWAD และ KTC ได้อานิสงส์ต้นทุนการเงินลดลงหลังคณะกรรมการนโยบายการเงิน (กนง.) ลดดอกเบี้ย 0.25% รวมถึงกลุ่มส่งออกชิ้นส่วนอิเล็กทรอนิกส์ ได้แก่ KCE HANA และ DELTA และกลุ่มส่งออกอาหาร ได้แก่ CPF และ TU ได้อานิสงส์ทิศทางเงินบาทอ่อนค่า

ในส่วนของหุ้นแนะนำวันนี้ ได้แก่ CK (ราคาปิดล่าสุด 21.40 บาท แนะนำซื้อ/เป้า IAA Consensus 25.50 บาท) ได้บรรยากาศเชิงบวก (Sentiment) หลังศาลรัฐธรรมนูญตัดสินให้ร่าง พ.ร.บ.งบประมาณปี 2563 ไม่เป็นโมฆะซึ่งส่งผลดีต่อหุ้นกลุ่มรับเหมา โดยฝ่ายวิจัยเลือก CK เป็นหุ้นเด่น (Top Pick) เนื่องจากผลประกอบการผันผวนน้อยสุดของกลุ่ม เพราะมีเงินลงทุนในบริษัทลูกซึ่งส่วนใหญ่อยู่ในธุรกิจโครงสร้างพื้นฐาน อาทิ รถไฟฟ้า ทางด่วน (BEM) น้ำประปา (TTW) และโรงไฟฟ้า (CKP) จึงมีความมั่นคงของผลประกอบการมากกว่าผู้ประกอบการรายอื่นที่เน้นธุรกิจรับเหมาก่อสร้างเพียงอย่างเดียว

ถัดมา TOP (ราคาปิด 54.25 บาท ซื้อ/เป้า 79.00 บาท) ได้บรรยากาศเชิงบวกบวกจากค่าการกลั่นที่เร่งตัวขึ้นสู่ระดับ 3.46 ดอลลาร์/บาร์เรล เทียบกับช่วงต้นปียังติดลบ 0.45 ดอลลาร์/บาร์เรล ขณะที่ผลประกอบการไตรมาส 4/62 คาดพลิกมีกำไรสุทธิ 1.4 พันล้านบาทเทียบกับไตรมาส 3/62 ที่ขาดทุนสุทธิ 683 ล้านบาท จากการบันทึกกำไรจากสต็อก (Stock Gain) เข้ามาประมาณ 820 ล้านบาท