“พรินซิเพิล” ชู 4 ธีมลงทุน ปรับกลยุทธ์สู้ความผันผวน-ดอกเบี้ยขาลง

สัมภาษณ์

เริ่มต้นปี 2563 ได้เพียงเดือนเศษ กลับมีปัจจัยเสี่ยงเข้ามารุมเร้าเศรษฐกิจไทยและเศรษฐกิจโลกไม่ขาดสาย ส่งผลให้เกิดความผันผวนมากขึ้น นักลงทุนจะวางกลยุทธ์อย่างไรในภาวะเช่นนี้ “ประชาชาติธุรกิจ” ได้สัมภาษณ์ “วิน พรหมแพทย์” ประธานเจ้าหน้าที่การลงทุน บริษัทหลักทรัพย์จัดการกองทุน (บลจ.) พรินซิเพิล จำกัด ถึงกลยุทธ์การลงทุนในปีนี้

ชู 4 ธีมลงทุนปีชวด

โดย “วิน” แนะนำกลยุทธ์การลงทุนในปี 2563 นี้ ด้วย 4 ธีมการลงทุน ได้แก่ 1.risk velocity คือ จัดพอร์ตแบบกระจายหลายสินทรัพย์ และเน้นลงทุนในกองทุนที่มีสไตล์การบริหารแบบดูแลความเสี่ยงในตลาดขาลง (drawdown) เพื่อให้สามารถรองรับความผันผวนได้

2.technology เนื่องจากการชะลอตัวของเศรษฐกิจโลกมาจากภาคการผลิต ขณะที่ภาคบริการโดยเฉพาะกลุ่มเทคโนโลยียังสามารถเติบโตได้ดีและมีการจ้างงานที่เพิ่มขึ้น ซึ่งบริษัทแนะนำลงทุนในกลุ่มขนส่งสินค้า (logistic) ที่ได้อานิสงส์จากการเติบโตของตลาดอีคอมเมิร์ซและอสังหาริมทรัพย์ที่ได้ประโยชน์จากการเติบโตของเทคโนโลยี เช่น ศูนย์เก็บข้อมูล (data center) และสำนักงาน (office) เป็นต้น

3.ESG ปัจจุบันผู้ลงทุนทั่วโลกหันมาให้ความสำคัญกับสิ่งแวดล้อม สังคม และธรรมาภิบาลมากขึ้น สะท้อนจากสินทรัพย์ในกองทุนบำนาญทั่วโลกหันมาใช้เกณฑ์ ESG ในการคัดกรองหุ้นเพิ่มขึ้นจาก 22.9 ล้านล้านเหรียญสหรัฐ เป็น 30.7 ล้านล้านเหรียญสหรัฐ ในเวลาเพียงแค่ 2 ปีเท่านั้น ดังนั้น เชื่อว่าในอนาคตหุ้นที่มีพื้นฐานดีและมี ESG นักลงทุนจะยอมจ่ายพรีเมี่ยมเพื่อเข้าลงทุน

และ 4.Asia rising เนื่องจากภูมิภาคเอเชียโดยเฉพาะจีนกับอินเดียกำลังทวงคืนความเป็นมหาอำนาจทางเศรษฐกิจของโลก สะท้อนจากส่วนแบ่งอัตราการเติบโตทางด้านเศรษฐกิจ (จีดีพี) ของประเทศจีนและอินเดียในช่วงที่ผ่านมา มีสัดส่วนสูงถึง 1 ใน 3 ของจีดีพีโลก รวมถึงจีนกำลังพัฒนาประเทศเพื่อขึ้นเป็นผู้นำด้านเทคโนโลยีนำหน้าสหรัฐ

จัดพอร์ตกระจายการลงทุน

“สิ่งที่เราย้ำกับผู้ลงทุนเสมอมา คือ การกระจายการลงทุน โดยการจัดพอร์ตลงทุนในปีนี้ เราแนะนำจัดพอร์ตลงทุนคล้ายกับกองทุนเปิดพรินซิเพิล บาลานซ์ อินคัม (PRINCIPAL iBALANCED) ซึ่งเราปรับกลยุทธ์ใหม่เป็นการจัดสรรสินทรัพย์ (asset allocation) โดยกระจายการลงทุนในสินทรัพย์หลากหลาย ทั้งตราสารหนี้ 40% กองทุนรวมอสังหาริมทรัพย์และทรัสต์เพื่อการลงทุนในอสังหาริมทรัพย์ (Property Fund & REITs) 25% หุ้นไทย 15% หุ้นต่างประเทศ 15% และทองคำ 5%”

“วิน” บอกว่า การลงทุนทั้งทางตรงหรือลงทุนผ่านกองทุนของ บลจ.พรินซิเพิล จะเป็นโอกาสสร้างผลตอบแทนเพิ่มขึ้น ท่ามกลางแนวโน้มการลงทุนที่ผันผวน ซึ่งกองทุน PRINCIPAL iBALANCED ได้เปิดขายหน่วยลงทุนชนิดจ่ายเงินปันผล (dividend) class-D เพิ่มเติมไปเมื่อ 3 ก.พ.ที่ผ่านมา โดยประมาณการอัตราเงินปันผลไว้ที่ 5-6% ต่อปี

คาดกำไร บจ.โต 12% หนุนดัชนี

ขณะที่มุมมองตลาดหุ้นไทยในปี 2563 คาดว่าดัชนีตลาดหลักทรัพย์ SET index จะเคลื่อนไหวในกรอบ 1,500-1,750 จุด และคาดว่าการเติบโตของกำไรสุทธิของบริษัทจดทะเบียน (EPS growth) จะอยู่ที่ 10-12% ซึ่งได้อานิสงส์มาจากฐานที่ต่ำในปี 2562 รวมถึงกำไร บจ.ที่ติดลบมา 2 ปีซ้อน อย่างไรก็ตาม บลจ.พรินซิเพิล อาจทบทวนประมาณการอีกครั้งในช่วงกลางปี 2563 หลังมูลค่าหุ้นไทยยังค่อนข้างแพง และปัจจัยภายนอกที่รุมเร้า กดดันการท่องเที่ยวและการส่งออก ซึ่งเป็นเซ็กเตอร์ใหญ่ของประเทศ

“เรามองปัจจัยบวกปีนี้มาจากกำไร บจ.ที่กลับมาเติบโต และกระแสเม็ดเงินลงทุนต่างชาติ (fund flow) ที่ไหลกลับเข้ามาลงทุนในตลาดเอเชีย-แปซิฟิกเกิดใหม่ (EM Asia-Pacific) หลังตลาดหุ้นประเทศพัฒนาแล้ว โดยเฉพาะสหรัฐปรับขึ้นทำจุดสูงสุดเมื่อปีที่แล้ว ขณะที่การชะลอตัวของเศรษฐกิจโลก สงครามการค้า เบร็กซิต และการเมืองไทยจะเป็นปัจจัยลบที่กดดันในปีนี้”

ชี้ช่องลงทุน “รีท” ปันผลแจ่ม

ส่วนภาวะดอกเบี้ยขาลง หลังคณะกรรมการนโยบายการเงิน (กนง.) ปรับลดดอกเบี้ยนโยบายลงต่ำสุดที่ระดับ 1% “วิน” มองว่า ที่ผ่านมาในภาวะดอกเบี้ยขาลง รีท (REIT) จะเป็นสินทรัพย์ที่ได้ประโยชน์มากที่สุด ตัวอย่างเช่น กองทุนเปิดพรินซิเพิล พร็อพเพอร์ตี้ อินคัม ชนิดสะสมมูลค่า (PRINCIPAL iPROP-A) ในปี 2562 ให้ผลตอบแทนสูงถึง 21% ส่วนผลตอบแทนช่วง 5 ปีย้อนหลังเฉลี่ยสูงถึงปีละ 11%

“ทิศทางดอกเบี้ยตอนนี้เราใช้คำว่า “lower for longer” หรือน่าจะต่ำอยู่แบบนี้ไปอีกสักระยะหนึ่ง ซึ่งจะทำให้การลงทุนในรีทยังมีความน่าสนใจอยู่ โดยเราคาดหวังเงินปันผลจากรีทที่ประมาณ 4-6% มากกว่าดอกเบี้ยเกือบประมาณ 3 เท่า เรายังแนะนำให้นักลงทุนมีอสังหาริมทรัพย์อยู่ในพอร์ต แต่จะต้องเข้าใจว่าผลตอบแทนที่ได้จะไม่หวือหวาเหมือนในอดีตที่ผ่านมา”

การศึกษาข้อมูลและติดตามสถานการณ์ต่าง ๆ ที่เกิดขึ้นอย่างใกล้ชิด น่าจะช่วยให้นักลงทุนตัดสินใจได้ดีขึ้นท่ามกลางปัจจัยเสี่ยงที่สร้างความผันผวน