GL คุมหนี้เสียต่ำ 5% หนุนพลิกมีกำไร ลุยปล่อยกู้เพิ่มหลังมีเงินสดในมือ 3 พันล้าน

นายทัตซึยะ โคโนชิตะ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บมจ.กรุ๊ปลีส (GL) ดำเนินธุรกิจการให้บริการสินเชื่อเช่าซื้อและให้บริการสินเชื่อแก่ผู้บริโภคโดยมีหลักทรัพย์ค้ำประกัน กล่าวว่า ในปี 2563 นี้ บริษัทคาดว่าจะทำให้กำไรสุทธิโดยรวมของกลุ่มกลับมาเป็นบวกได้ หลังจากปีที่แล้วขาดทุนไป 21.61 ล้านบาท ซึ่งเป็นปีที่ต้องต่อสู้ทางกฎหมายกับคดีความต่างๆ แต่ก็สามารถชนะคดีกลับมาได้ ซึ่งก็น่าจะทำให้ธุรกิจหลักที่อยู่ในไทยและต่างประเทศมีความคล่องตัวและมีอิสระในการดำเนินงานมากขึ้น แต่ตอนนี้อาจจะเร็วไปถ้าจะบอกเป็นตัวเลข

อย่างไรก็ดีคาดว่าไตรมาส 1/63 รายได้ของบริษัทจะมีทิศทางที่ดีขึ้น เนื่องจากตั้งแต่ต้นปีธุรกิจของเราเริ่มมีรายได้และขนาดของพอร์ตขยายตัวดีขึ้นทั้งธุรกิจในไทยและกัมพูชา เนื่องจากปีที่แล้วบริษัทมีการปรับโครงสร้างองค์กร รวมถึงได้คัดกรองหนี้เสียที่ไม่ก่อให้เกิดรายได้(NPL) ของลูกหนี้ได้ดีขึ้น เน้นคุณภาพของลูกค้ามากขึ้น โดยการเข้มงวดผ่านการปฏิเสธลูกค้า (Rejection Rate) ที่ขยับขึ้นมาอยู่ที่ 39% จากระดับที่ 25% ดังนั้นคาดว่าปีนี้เอ็นพีแอลจะลดลงต่ำกว่า 5% จากปีที่แล้วที่อยู่ในระดับสูงกว่า 5% คิดเป็นมูลค่าหนี้ประมาณ 300-400 ล้านบาท

“ยอมรับปีที่แล้วการทำงานค่อนข้างยาก จากที่ต้องต่อสู้คดีความ แต่สิ่งที่เราทำได้คือการบริหารจัดการองค์กร และการเติบโตในเมียนมาและกัมพูชา ซึ่งเราก็ได้มีการลงทุนที่สูงขึ้น แม้ค่าเงินในเมียนมาจะอ่อนค่า แต่เมื่อ SWAP กลับมาเป็นบาท ก็ยังมีกำไรอยู่ ซึ่งมองว่าปีที่แล้วน่าจะเป็นจุดที่แย่ที่สุดของเราแล้ว”

“แหล่งที่มาของรายได้มาจากธุรกิจในไทย 67% ลดลงจากปีที่แล้วที่อยู่ 68% และมีสัดส่วนยอดขายเพิ่มจากธุรกิจในกัมพูชามาเป็น 16% จากระดับที่ 15% จากธุรกิจหลักเช่าซื้อมอเตอร์ไซต์ฮอนด้าและเช่าซื้อรถตุ๊กตุ๊ก ซึ่งธุรกิจเช่าซื้อรถตุ๊กตุ๊กแม้ว่าจะเริ่มอิ่มตัว แต่เราสามารถดึงมาเก็ตแชร์มาได้ โดยตัวเลขการปล่อยสินเชื่อเดือนต่อเดือนกระโดดขึ้นมาค่อนข้างดี

ปีนี้จากภาพรวมเศรษฐกิจไทยที่ค่อนข้างมีความไม่แน่นอนสูงจากสถานการณ์การระบาดของไวรัสโควิด-19 ฝุ่นพิษ PM 2.5 การปิดโรงงานเชฟโรเลต หรือแม้แต่ข้อพิพาทการค้าระหว่างสหรัฐกับจีนที่อาจจะกลับมามีผลต่อภาพรวมของเศรษฐกิจโลกก็ตาม แต่เชื่อว่าบริษัทจะรับมือได้ เนื่องจากเรามีสภาพคล่องจากเงินสดที่มีในมือกว่า 3 พันล้านบาท ซึ่งได้มีแผนจะนำเงินไปจ่ายหนี้คืนหุ้นกู้ช่วงปลายเดือน มี.ค.63 ประมาณ 20 ล้านเหรียญสหรัฐหรือราว 600 ล้านบาท ส่วนเม็ดเงินที่เหลือจะนำไปใช้บริหารธุรกิจ โดยหลักๆ จะใช้กับธุรกิจในประเทศไทย วางนโยบายลุยปล่อยสินเชื่อเพิ่มขึ้น ซึ่งจะโฟกัสการปล่อยกู้ในเมียนมาด้วย

“ในไทยภายใต้แบรนด์กรุ๊ปลีส ซึ่งบริหารกับทางคู่ค้าดีลเลอร์ต่างๆ เราก็จะบุกตรงนี้มากขึ้น เปิดบริการหาคู่ค้า และมองพื้นที่อื่นๆ จากที่เราคัดกรองลูกค้าที่จะสามารถไม่เป็นเอ็นพีแอล”

ในปี 2562 ที่ผ่านมาผลประกอบการโดยรวมของบริษัทลดลง 340 ล้านบาท ต่ำลงประมาณ 12% เหลืออยู่ที่ 2.5 พันล้านบาท จาก 2.8 พันล้านบาท โดยธุรกิจเช่าซื้อลดลง 12% และธุรกิจสินเชื่อจำนำทะเบียนลดลง 28-29% จากผลที่ธนาคารแห่งประเทศไทย(ธปท.) กำหนดเพดานดอกเบี้ยไม่ให้เกินระดับ 28% ขณะที่ธุรกิจไมโครไฟแนนซ์กลับค่อนข้างเติบโตดีทั้งในเมียนมา อินโดนีเซีย และลาว ซึ่งมีอัตราการเติบโตกว่า 12%

ส่วนขนาดพอร์ตรวมลดลง 13.69% มาอยู่ที่ 6,525 ล้านบาท จากปีที่แล้วมูลค่าพอร์ตอยู่ที่ 7,561 ล้านบาท เนื่องจากบริษัทต้องจ่ายเงินคืนให้ธนาคารกสิกรไทยไปประมาณ 1.5 พันล้านบาท ทำให้ปีที่แล้วบริษัทมีผลการดำเนินงานขาดทุนรวม 21.61 ล้านบาท จากปีก่อนหน้าที่มีกำไร 289 ล้านบาท แต่ถ้าดูธุรกิจของเราในไทยเพียงอย่างเดียวเติบโตขึ้นมากกว่า 97 ล้านบาท ผลประกอบการในไทยไม่รวมรายจ่ายของกลุ่ม เช่น ค่าใช้จ่ายด้านการเงิน, ค่าที่ปรึกษา และอัตราแลกเปลี่ยน จะเพิ่มขึ้นเป็น 537 ล้านบาท จากเดิม 458 ล้านบาท

ส่วนคดีความต่างๆ เบื้องต้นศาลล้มละลายกลางตัดสินยุบฟ้องคดีฟื้นฟู้กิจการในไทย โดยทางเจทรัสต์มีสิทธิ์ยื่นอุทธรณ์ได้ แต่อย่างไรก็ตามทางบริษัทก็ได้ฟ้องกลับเรียกค่าเสียหายไปประมาณ 880 ล้านบาท ซึ่งศาลจะตัดสินในวันที่ 5 มี.ค.63 นี้ ส่วนการตัดสินคดีแพ่งจะเริ่มเดือน พ.ค.นี้