กลุ่มปตท.กำไรลดฮวบ 40% น้ำมันร่วง-กำไรอัตราแลกเปลี่ยนวูบ

โบรกฯประเมินกำไรสุทธิ 5 บริษัทกลุ่ม ปตท.งวดไตรมาส 2/60 ทำได้เพียง 48,782 ล้านบาท ลดลงเกือบ 40% จากไตรมาสแรกที่ทำได้ 81,044 ล้านบาท เหตุราคาน้ำมันพลิกมาเป็นช่วงขาลง ฉุดค่าการกลั่นและส่วนต่างปิโตรเคมี-กำไรพิเศษจากอัตราแลกเปลี่ยนลดฮวบ ส่วนช่วงครึ่งปีหลังหวั่นราคาน้ำมันยังมีสัญญาณขาลง

นายมงคล พ่วงเภตรา ผู้อำนวยการอาวุโสฝ่ายวิเคราะห์หลักทรัพย์และกลยุทธ์การลงทุน บริษัทหลักทรัพย์ (บล.) เคทีบี (ประเทศไทย) เปิดเผย “ประชาชาติธุรกิจ” ว่า บริษัทได้ทำประมาณการผลดำเนินงานของ กลุ่มบมจ. ปตท. จำนวน 5 บริษัท ได้แก่ บมจ.ปตท. (PTT) บมจ.ปตท.สำรวจและผลิตปิโตรเลียม (PTTEP) บมจ.ไทยออยล์ (TOP) บมจ.พีทีที โกลบอล เคมิคอล (PTTGC) และ บมจ.ไออาร์พีซี (IRPC) ในงวดไตรมาส 2/2560 โดยคาดว่าทั้งกลุ่มจะมีกำไรสุทธิรวมประมาณ 48,782 ล้านบาท ซึ่งปรับตัวลดลง 39.81% จากไตรมาส 1/2560 ที่ทำได้ 81,044 ล้านบาท แต่ปรับตัวเพิ่มขึ้นราว 11.10% เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันปีก่อนที่ระดับ 43,922 ล้านบาท

สำหรับสาเหตุที่ทั้ง 5 บริษัทในกลุ่ม ปตท. มีกำไรสุทธิในช่วงไตรมาส 2/2560 ปรับตัวลดลงจากช่วงไตรมาส1/2560นั้น เป็นผลมาจากราคาน้ำมันในตลาดโลกโดยเฉลี่ยเคลื่อนไหวอ่อนตัวลงสู่ระดับ 50 เหรียญสหรัฐต่อบาร์เรล จากไตรมาสแรกที่เฉลี่ยอยู่ระดับ 53 เหรียญสหรัฐต่อบาร์เรล ซึ่งเป็นผลจากความวิตกกังวลด้านปริมาณผลิตน้ำมันที่สูงขึ้นอย่างรวดเร็วของสหรัฐ ขณะที่ส่วนต่าง (สเปรด) ของผลิตภัณฑ์ทั้งในส่วนของโรงกลั่นและปิโตรเคมีก็ต่างอ่อนตัวลงตามราคาน้ำมัน รวมถึงการหายไปของกำไรจากอัตราแลกเปลี่ยนที่เคยสูงมากในช่วงไตรมาสแรก เนื่องจากการเคลื่อนไหวของค่าเงินบาทแข็งค่าน้อยลง

“หากเทียบกับช่วงไตรมาส 1/2560 กลุ่มธุรกิจต้นน้ำอย่าง PTT และ PTTEP นั้น คาดว่ากำไรสุทธิจะปรับตัวลดลงราว 39.9% เพราะกำไรจากอัตราแลกเปลี่ยนที่ปรับตัวลดลงมากและอาจมีการขาดทุนจากสต๊อกน้ำมัน (สต๊อกลอส) ขณะที่กลุ่มธุรกิจกลางน้ำคือ โรงกลั่น อาทิ TOP และ IRPC คาดจะได้รับผลกระทบจากค่าการกลั่น และกำไรจากอัตราแลกเปลี่ยนที่ปรับตัวลดลง โดยคาดกำไรของ TOP จะติดลบ 31% แต่ IRPC จะมีกำไรเป็นบวก 27.3% เนื่องจากได้อานิสงส์จากธุรกิจน้ำมันหล่อลื่นซึ่งมีสเปรดที่ปรับตัวเพิ่มสูงขึ้น ประกอบกับสามารถเดินเครื่องการผลิตได้เต็มที่หลังจากปิดซ่อมบำรุงโรงกลั่นในช่วงไตรมาสแรกไปแล้ว จึงทำให้ช่วยชดเชยกำไรส่วนอื่น ๆ ที่หายไปได้ ส่วนกลุ่มธุรกิจปลายน้ำหรือปิโตรเคมี ได้แก่ PTTGC คาดว่าจะมีกำไรจะติดลบมากที่สุดในกลุ่มเกือบ 56% เพราะได้รับผลกระทบถึง 3 ส่วนทั้งจากค่าการกลั่น สเปรดของปิโตรเคมี รวมถึงกำไรจากอัตราแลกเปลี่ยนที่ปรับตัวลดลงมาก” นายมงคลกล่าว

ส่วนแนวโน้มกำไรสุทธิของกลุ่ม ปตท.ทั้ง 5 บริษัทในช่วงไตรมาส 3/2560 คาดว่าจะทรงตัวจากช่วงไตรมาส 2/2560 เพราะมองว่าราคาน้ำมันไม่น่าปรับตัวเพิ่มขึ้นได้มากนัก ซึ่งน่าจะเคลื่อนไหวเฉลี่ยบริเวณระดับ 45-55 เหรียญต่อบาร์เรล ขณะที่สเปรดของผลิตภัณฑ์ในกลุ่มปิโตรเคมีก็น่าจะทรง ๆ ในระดับเดียวกับไตรมาสที่ผ่านมา ส่วนค่าการกลั่นมีแนวโน้มปรับตัวต่ำลงอีก หลังจากผ่านฤดูของการกลั่นน้ำมันเพื่อรองรับความต้องการใช้ที่มีอย่างมากไปแล้ว

อย่างไรก็ตามประมาณการกำไรสุทธิรวมของกลุ่ม ปตท.ทั้งปี 2560 คาดว่าจะอยู่ที่ระดับ 188,044 ล้านบาท เพิ่มขึ้นจากปีก่อนที่ทำได้ 164,010 ล้านบาท

นางสาวนลินรัตน์ กิตติกำพลรัตน์ ผู้อำนวยการฝ่ายวิจัย บล.เอเซีย พลัส กล่าวว่า ทิศทางราคาน้ำมันในช่วงครึ่งปีหลังคาดว่าจะแกว่งตัวในกรอบ 45-55 เหรียญสหรัฐต่อบาร์เรล หลังจากที่มีแรงกดดันจากความกังวลเรื่องปริมาณผลิตที่ปรับตัวเพิ่มสูงขึ้น ขณะที่ค่าการกลั่นที่ผ่านจุดพีกสุดในช่วงครึ่งปีแรกไปแล้ว ซึ่งทำให้ช่วงครึ่งปีหลังผลการดำเนินงานส่วนใหญ่น่าจะเป็นช่วงโลซีซั่น

อย่างไรก็ตาม บริษัทเลือก IRPC เป็นตัวที่โดดเด่นที่สุดของกลุ่ม เนื่องจากในช่วงที่เหลือของปีคาดว่าจะเดินเครื่องโรงกลั่นได้เต็มที่ และทิศทางกำไรมีแนวโน้มปรับตัวเพิ่มขึ้นมากกว่ากลุ่ม