‘บลจ.เอ็มเอฟซี’ เปิดขาย 2 กองทุน SSF-SSFX แล้ววันนี้

‘บลจ.เอ็มเอฟซี’ พาเหรด 2 กองทุน SSF-SSFX ‘MTQS-MTFS’ ขาย IPO ตั้งแต่ 1-15 เม.ย.นี้ หนุนคนไทยออมเงินระยะยาว-รับสิทธิลดหย่อนภาษี

นายสดาวุธ เตชะอุบล รักษาการกรรมการผู้จัดการ บริจัดการกองทุน (บลจ.) เอ็มเอฟซี จำกัด (MFC) เปิดเผยว่า จากสภาวะเศรษฐกิจในปัจจุบันที่ได้รับผลกระทบจากการแพร่ระบาดของไวรัสโควิด-19 ส่งผลให้ราคาหุ้นในปัจจุบันปรับตัวลดลง จนต่ำกว่าปัจจัยพื้นฐานเป็นอย่างมาก จึงถือได้ว่าเป็นโอกาสที่เหมาะสมสำหรับนักลงทุนที่สนใจในการลงทุนระยะยาว ซึ่งเห็นได้จากการประกาศซื้อหุ้นคืนผ่านทางตลาดหลักทรัพย์ของบริษัทจดทะเบียน (บจ.) ที่สูงสุดเป็นประวัติการณ์

แม้ว่าในช่วงครึ่งปีแรกเศรษฐกิจไทยจะได้รับผลกระทบจากการแพร่ระบาดของไวรัสโควิด-19 โดยรัฐบาลได้มีมาตรการเพื่อกระตุ้นเศรษฐกิจของประเทศ ทั้งการลดดอกเบี้ยนโยบาย ซึ่งถือเป็นการกระตุ้นเศรษฐกิจผ่านทางนโยบายการเงิน (Monetary Policy) และรัฐบาลได้ใช้นโยบายการคลัง (Fiscal Policy) ในส่วนของงบลงทุน และมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจต่างๆ เพื่อที่จะช่วยพยุงภาพรวมของเศรษฐกิจตั้งแต่ในช่วงไตรมาสที่ 2 เป็นต้นไป โดยจะส่งผลให้สภาวะเศรษฐกิจไทยปรับเปลี่ยนไปในทิศทางที่ดี และฟื้นตัวในช่วงครึ่งปีหลังได้ บลจ.เอ็มเอฟซี จึงมองว่าเป็นโอกาสที่ดีในการลงทุน พร้อมเปิดตัว 2 กองทุนรวมเพื่อการออท (SSF) เพื่อเป็นทางเลือกให้กับผู้ที่สนใจออมเงินลงทุนในระยะยาว และยังสามารถใช้สิทธิในการลดหย่อนภาษี ได้แก่

1. กองทุนเปิดเอ็มเอฟซี หุ้นไทย เพื่อการออม หรือ MFC Thai Equity Super Savings Fund (MTQS) เป็นกองทุนรวมตราสารทุน ลงทุนในตราทุน และ/หรือหน่วยลงทุนโดยมี net exposure ในตราสาร โดยเฉลี่ยในรอบปีบัญชีไม่น้อยกว่า 80% ของ NAV กองทุนนี้จะมีให้เลือก 2 รูปแบบ ได้แก่ ชนิดเพื่อการออมพิเศษ (MTQ-SSFX) และชนิดเพื่อการออม (MTQ-SSF)

2.กองทุนเปิดเอ็มเอฟซี ไทยเฟล็กซิเบิล เพื่อการออม หรือ MFC Thai Flexible Super Savings Fund (MTFS) เป็นกองทุนรวมผสม ลงทุนในตราสารทุน ตราสารหนี้ ตราสารกึ่งหนี้กึ่งทุน หน่วย infra หน่วย property REITs กองทุนรวมอีทีเอฟ เงินฝาก และ อื่นๆ กองทุนนี้จะมีให้เลือก 2 รูปแบบเช่นกัน ได้แก่ ชนิดเพื่อการออมพิเศษ (MTF-SSFX) และชนิดเพื่อการออม (MTF-SSF)

โดยทั้งสองกองทุน MTQS และ MTFS ลงทุนในหลักทรัพย์ที่จดทะเบียนในตลาด SET และหรือตลาด MAI โดยเฉลี่ยในรอบบัญชีไม่น้อยกว่า 65% ของ NAV และอาจลงทุนในกองทุนรวมภายใต้การจัดการของบริษัทจัดการ ไม่เกิน 25% ของ NAV โดยจะไม่ลงทุนใน Derivatives และ Structured Note ทั้งนี้มีนโยบายจ่ายปันผลอย่างน้อยปีละ 1 ครั้ง

สำหรับผู้ที่ต้องการลงทุนเพื่อใช้สิทธิในการลดหย่อนภาษี ต้องถือครองหน่วยลงทุนกองทุน SSF และ SSFX เป็นระยะเวลา 10 ปี โดยนับจากวันที่ซื้อหน่วยลงทุน สำหรับการลงทุนในกองทุน SSFX สามารถนำมาหักลดหย่อนภาษีสูงสุดไม่เกิน 200,000 บาท (ไม่รวมกับวงเงินซื้อหน่วยลงทุนกองทุน SSF แบบปกติ) เริ่มซื้อหน่วยลงทุนได้ตั้งแต่เดือน เม.ย. – มิ.ย.63 นี้ แตกต่างจากกองทุน SSF ที่สามารถซื้อหน่วยลงทุนได้ในปี 2563-2567 โดยกองทุน SSF สามารถหักลดหย่อนได้สูงสุด 30% ของเงินได้พึงประเมิน แต่ไม่เกิน 200,000 บาท แต่เมื่อรวมกับวงเงินหักลดหย่อนรวมในกองทุนรวมเพื่อการเกษียณอื่นๆ แล้วสามารถลดหย่อนได้ไม่เกิน 500,000 บาทต่อปีภาษี

นายสดาวุธ กล่าวว่า กองทุนเปิด SSF และ SSFX เหมาะสำหรับผู้สนใจลงทุนในระยะยาว มีนโยบายการลงทุนที่หลากหลาย จึงเป็นทางเลือกสำหรับผู้ลงทุน โดยเฉพาะอย่างยิ่ง ผู้ที่เริ่มต้นวัยทำงานและประชาชนทั่วไปที่ต้องการเริ่มสะสมเงินเพื่อความมั่นคงทางการเงินในระยะยาว และต้องการลดหย่อนภาษี โดยสามารถเลือกลงทุนในนโยบายการลงทุนต่าง ๆ ได้ตามระดับความเสี่ยงที่ตนยอมรับได้ ผู้สนใจสามารถลงทุนขั้นต่ำได้เพียง 1,000 บาท โดยสามารถซื้อและขายคืนหน่วยลงทุนได้ทุกวันทำการ

โปรโมชั่นพิเศษ สำหรับผู้ที่ลงทุนในกองทุน SSF และ SSFX รวมไปถึงกองทุนในกลุ่ม RMF เฉพาะกองทุน M-VALUE M-PROPRMF และ HI-DIV RMF ระหว่างวันที่ 1 เม.ย. – 30 มิ.ย.63 โดยมียอดเงินลงทุนสะสมครบทุกๆ 50,000 บาท รับทันทีหน่วยลงทุน MM-GOV มูลค่า 100 บาท ตามเงื่อนไขที่บลจ.กำหนด

ทั้งนี้ สำหรับผู้สนใจลงทุนสามารถติดต่อขอรายละเอียดเพิ่มเติมเกี่ยวกับนโยบายการลงทุน ความเสี่ยง ผลการดำเนินงานของกองทุนหรือหนังสือชี้ชวนได้ที่ บลจ. เอ็มเอฟซี จำกัด (มหาชน) โทรศัพท์ 0-2649-2000 ติดต่อฝ่ายวางแผนการลงทุน กด 2 หรือ Contact Center กด 0 สาขาแจ้งวัฒนะ โทร.0-2835-3055-57 สาขาปิ่นเกล้า โทร. 0-2014-3150-2 สาขาขอนแก่น โทร.043-204-014-16 สาขาเชียงใหม่ โทร. 0-5321-8480-82 สาขาระยอง โทร. 033-100-340 สาขาหาดใหญ่ โทร. 074-232-324 – 25 หรือที่ www.mfcfund.com