5 จุดบอดประกันโควิด ที่อาจทำให้บริษัทประกันเสี่ยงขาดทุน

ประกันสุขภาพ,ประกันชีวิต

จากกรณีบริษัท สินมั่นคงประกันภัย จำกัด (มหาชน) ออกหนังสือ บอกเลิกกรมธรรม์ประกันภัยการติดเชื้อไวรัสโคโรนา (โควิด-19) ระบุว่า สืบเนื่องจากการระบาดของโรคติดเชื้อโควิด-19 อันเป็นสถานการณ์ฉุกเฉินที่ทวีความรุนแรงอย่างต่อเนื่อง และมีจำนวนผู้ติดเชื้อรายใหม่เพิ่มขึ้นในอัตราที่สูง ส่งผลให้บริษัทต้องบริหารความเสี่ยงให้มีประสิทธิภาพ และจำเป็นต้องใช้สิทธิบอกเลิกกรมธรรม์ประกันภัยการติด เชื้อไวรัสโคโรนาแบบ เจอ จ่าย จบ

กรณีดังกล่าว คุณพิเชฐ เจียรมณีทวีสิน (อาจารย์ทอมมี่) กรรมการผู้จัดการ บริษัท แอคชัวเรียล บิสซิเนส โซลูชั่น (ABS) และอดีตนายกสมาคมนักคณิตศาสตร์ประกันภัย 3 สมัย เคยทำนายไว้ในคอลัมน์ คุยฟุ้งเรื่องการเงิน ตั้งแต่เมื่อเดือนเมษายน 2563

ทาง “ประชาชาติธุรกิจ” จึงขอนำบทความดังกล่าวมาเผยแพร่ซ้ำอีกครั้ง

 

 

จุดขาดทุนที่ 1 (บทเรียนจากน้ำท่วม VS นโยบายภาครัฐ) บทเรียนจากเหตุการณ์น้ำท่วมใหญ่ เป็นเหตุการณ์ที่พิสูจน์ให้รู้ว่าปัจจัยภายนอกจากการจัดการบริหารนั้น ไม่สามารถใช้สถิติมาจับได้

ตัวอย่างสมมุติสำหรับเคสโควิดเลย เช่น มีการ lockdown กันช้าเกินไป หรือมีกลุ่มคนต่อต้านการกักตัวเองขึ้นมา ทำให้มีการติดเชื้อกันมากเหมือนอิตาลี เป็นต้น โดยสถานการณ์ต่าง ๆ นั้นสามารถเกิดขึ้นได้หลายรูปแบบ จึงอยากจะให้มองในมุมที่ว่า โอกาสในการติดเชื้อนั้นอาจจะเป็นได้ตั้งแต่ 1% ไปจนถึง 80% ในชั่วข้ามคืน จากนโยบายการจัดการได้ทุกเมื่อ

ต้นทุนการเคลมของแบบประกันตัวนี้ จึงไปผูกติดกับประสิทธิภาพการจัดการของรัฐบาลเสียมากกว่า ในระยะเวลา 12 เดือนข้างหน้าที่ประกันโควิด-19 ยังคุ้มครองอยู่ อาจจะมีคนไทยติดเชื้อทั้งหมดกันแค่ไม่เกิน 2 หมื่นคน หรืออาจจะพุ่งสูงขึ้นเป็น 10 ล้านคนก็ได้ ถ้าทั้งภาครัฐและภาคเอกชนไม่สามารถจัดการควบคุมการติดต่อของโรคระบาดกันได้ดีพอ

จุดขาดทุนที่ 2 (เจอปุ๊บจ่ายปั๊บ VS ในวันที่โควิด-19 กลายเป็นแค่ไข้หวัดใหญ่ธรรมดา)

สมมุติถ้ามีการคิดค้นยาที่รักษาไวรัสโควิด-19 เกิดขึ้นสำเร็จ ไวรัสชนิดนี้จึงเป็นเพียงแค่ไข้หวัดใหญ่ธรรมดา ไม่มีใครกลัวโควิด-19 อีกต่อไป ถึงจุดนั้นกลุ่มคนที่ซื้อประกันชนิดที่คุ้มครองแบบที่เจอปุ๊บจ่ายปั๊บก็คงยิ้มกันเป็นแถว หากติดเชื้อไปก็ไม่เป็นไร โดยเฉพาะคนที่กักตุนซื้อหลาย ๆ กรมธรรม์เอาไว้ ถึงจะไม่จงใจให้ไปติด แต่ก็จะไม่ระวังตัวอีกต่อไป จุดนี้ที่บริษัทประกันลืมคิดถึงการ over insure ของลูกค้าไปตั้งแต่ตอนพิจารณารับประกันภัย และมองว่าถึงอย่างไรลูกค้าก็คงจะระวังตัวเองไม่ให้ติดเชื้ออยู่แล้ว สรุปว่าถ้าลูกค้าทำหลาย ๆ กรมธรรม์พร้อมกัน ประกอบกับความรุนแรงของโควิค-19 มันหายไปเมื่อไร มันจะเป็นเหตุการณ์ที่บริษัทประกันจะขาดทุนมากมาย

จุดขาดทุนที่ 3 (เงินชดเชยต่อวันได้เงินมากกว่าค่าจ้างรายวัน)

ประกันโควิด-19 บางแบบจะจ่ายค่าชดเชยรายได้ที่ขาดหายไปจากการสูญเสียรายได้ในชีวิตประจำวันไปเมื่อนอนโรงพยายาลให้ด้วย เมื่อลองนึกภาพของวิกฤตเศรษฐกิจที่มีการตกงานกันมาก รายได้ประจำวันลดลงจากเดิมไปมาก ถ้าเกิดติดเชื้อขึ้นมา การเข้าโรงพยาบาลแต่ละครั้งก็คงอยากจะอยู่ให้นานที่สุด จากที่ปกติอยู่แค่ 10 วัน ก็อาจจะยืดขึ้นไปเป็น 15 วัน เพราะค่าชดเชยจากประกันจะมากกว่ารายได้ปกติ โดยเฉพาะในภาวะเศรษฐกิจแบบนี้ จุดนี้เป็นจุดที่บริษัทประกันอาจจะลืมมองไป โดยเฉพาะอย่างยิ่งกับพวกที่ over insure ยิ่งซื้อประกันโควิด-19 กันหลายฉบับ ก็ยิ่งได้รับค่าชดเชยรายได้ต่อวันที่สูงมาก จนบางคนแทบไม่อยากไปทำงานเลย เหตุการณ์ขาดทุนอย่างนี้เกิดได้บ่อยถ้าบริษัทประกันรีบขายจนเกินไป และไม่ได้พิจารณาการรับประกันภัยให้ดีก่อน

จุดขาดทุนที่ 4 (เบี้ยทุกอายุเฉลี่ยแต่ต้นทุนไม่เฉลี่ย)

เบี้ยประกันภัยเฉลี่ยเท่ากันทุกช่วงอายุ แต่ความจริงแล้วปัจจัยต้นทุนของการเคลมจะดูที่ “อัตราการติดเชื้อ” กับ “ความรุนแรงที่เกิดขึ้นหลังจากการติดเชื้อ” ซึ่งทั้งสองปัจจัยจะแตกต่างกันตามแต่ละช่วงอายุ ดังนั้น บริษัทประกันภัยที่คุ้มครองผู้สูงอายุที่สูงกว่า 70 ปี โดยที่คิดเบี้ยประกันเท่ากันทุกช่วงอายุนั้น จะถือว่าเสี่ยงกว่าบริษัทอื่นมาก โดยเฉพาะบางแห่งที่ขายประกันโควิด-19 ให้กับทุกอายุแต่คิดเบี้ยประกันของผู้สูงอายุเท่ากับอายุอื่น ๆ โดยตั้งสมมุติฐานว่าทุกอายุจะเข้ามาซื้อประกันในสัดส่วนพอ ๆ กัน

แต่สุดท้ายแล้วคนที่ซื้อประกันโควิด-19 ส่วนมากก็คือคนสูงอายุ และเมื่อต้นทุนของผู้สูงอายุเยอะกว่า ก็จะทำให้บริษัทประกันมีโอกาสขาดทุนได้ ยกตัวอย่างเช่น สมมุติเรามีสินค้า 3 ชิ้น ต้นทุนชิ้นแรก 5 บาท ชิ้นที่สอง 10 บาท ชิ้นที่สาม 15 บาท ถ้าเราคิดว่าจะขายจำนวนชิ้นได้เท่า ๆ กัน ก็หมายถึงต้นทุนต่อชิ้นเฉลี่ยตรงกลางเท่ากับ 10 บาท (5 + 10 + 15 หารด้วย 3) ก็เลยตั้งราคาขายไว้ที่ 12 บาท (กะว่าจะได้กำไร 2 บาท) แต่ตอนขายจริง ๆ กลับมีแต่สินค้าชิ้นที่สามที่ขายออก ต้นทุน 15 บาท ราคาขาย 12 บาท (แปลว่าขาดทุน 3 บาทซะอย่างนั้น) และบริษัทประกันอาจจะเจอกับปัญหานี้อยู่ เพราะไปตั้งเป็นเบี้ยเฉลี่ยเท่ากันหมด

จุดขาดทุนที่ 5 (สถิติเสียชีวิตจากโรคระบาดใหญ่ในทุก 100 ปี กับวิวัฒนาการของไวรัส)

จากสถิติที่อ้างอิงประวัติศาสตร์ในทุก 100 ปี จะมีการแพร่ระบาดใหญ่ของไวรัส 1 ครั้ง ที่จะทำให้ทุกคนทั้งโลกจดจำไว้ในประวัติศาสตร์โลก ซึ่งครั้งล่าสุดคือ ไข้หวัดสเปน ปี ค.ศ. 1918 (เกิดขึ้นเมื่อประมาณ 100 ปีที่แล้วพอดี) โดยในตอนนั้นมีคนเสียชีวิตประมาณ 50 ล้านคน ไวรัสได้มีการวิวัฒนาการและแบ่งออกเป็นระลอกคลื่น เช่น คลื่นลูกที่หนึ่ง สามารถติดต่อกันง่ายดาย คนที่ติดในระลอกแรกนั้นจะไม่เป็นอันตรายถึงตาย หรืออัตราการตายจะไม่สูง แต่พอเปลี่ยนเป็นคลื่นลูกที่สอง ความรุนแรงเพิ่มพูนขึ้นจนสามารถทำให้คนตายเป็นจำนวนมาก แต่คนที่มีภูมิคุ้มกันจากคลื่นลูกแรกนั้นกลับจะมีโอกาสติดเชื้อได้น้อยกว่า และสุดท้ายก็เข้าสู่คลื่นลูกที่สาม ที่ไวรัสสามารถกลายพันธุ์ไปติดเด็กได้ง่ายมากขึ้นและทำให้คนตายมากขึ้นไปอีก

ซึ่งตอนนี้เราอาจจะอยู่กันเพียงแค่คลื่นลูกที่หนึ่งเองก็ได้ และไวรัสกำลังซุ่มเงียบเพื่อแอบกลายพันธุ์อยู่ พร้อมรอที่จะเป็นคลื่นลูกที่สองและสามในไม่ช้า (ซึ่งก็ได้แต่ภาวนาขออย่าให้เป็นแบบนั้นเลย)