“เอดีบี” คงเป้าจีดีพีไทยที่ 3.5%-คาด กนง.คงดอกเบี้ยนโยบาย

นางลัษมณ อรรถาพิช เศรษฐกรอาวุโส ประจำประเทศไทย ธนาคารพัฒนาเอเชีย (เอดีบี) เปิดเผยว่า เอดีบี ยังคงประมาณการเศรษฐกิจไทยไว้ที่ 3.5% และคาดว่าเพิ่มเป็น 3.6% ในปี 2561 โดยในช่วงครึ่งแรกของปี 2560 ที่ผ่านมา มีอัตราการเติบโตที่ 3.5% ซึ่งเป็นผลจากที่ผลผลิตภาคการเกษตรและการส่งออกขยายตัวได้ดี ทั้งนี้ คาดว่าในปีนี้การส่งออกจะมีอัตราการเติบโตไม่น้อยกว่า 5% และในปี 2561 จะขยายตัวที่ประมาณ 7% ถึงแม้ว่าการลงทุนจะยังมีไม่มาก แต่คาดว่าเศรษฐกิจไทยน่าจะขยายตัวได้ดีตามที่คาดการณ์ไว้ ส่วนดุลบัญชีเดินสะพัด คาดว่าปีนี้จะเกินดุลประมาณ 8.5% ของผลผลิตมวลรวมภายในประเทศ (จีดีพี) ส่วนในปีหน้าคาดว่าดุลบัญชีเดินสะพัด จะเกินดุลลดลงอยู่ที่ 6.5% และอัตราเงินเฟ้อเฉลี่ย 0.7% ทั้งนี้ เอดีบี คาดการณ์การขยายตัวของเศรษฐกิจและอัตราเงินเฟ้อจะเพิ่มสูงขึ้นในปี 2561 โดยมีภาคการท่องเที่ยวมาช่วยสนับสนุน ซึ่งเอดีบีมองว่ายังขยายตัวได้อย่างต่อเนื่อง จากปีนี้คาดว่าจะมีจำนวนนักท่องเที่ยวต่างชาติเพิ่มสูงขึ้นประมาณ 7.5% หรือประมาณ 35 ล้านคน

“ภาคการลงทุนในปีนี้ลดลง จากก่อนหน้านี้ 3-4 ปี มีการขยายตัวของภาพการลงทุนค่อนข้างมาก การที่ภาคลงทุนเคยเป็นพระเอก แต่เมื่อการขยายตัวในปัจจุบันกลับลดลง จึงไม่สามารถช่วยส่งเสริมภาคการส่งออกให้ดีขึ้น ภาพรวมเศรษฐกิจจึงยังไม่ค่อยเติบโตกว่าที่ควรจะเป็น เราจึงยังคงจีดีพีไว้ที่ 3.5% ในปี 2560 ส่วนในปีหน้าเอดีบีมองว่า ภาคการส่งออกน่าจะดีขึ้น การลงทุนภาครัฐน่าจะเห็นผลเป็นรูปธรรมชัดเจนมากขึ้น โดยเฉพาะโครงการโครงสร้างพื้นฐาน รวมถึงพื้นที่เศรษฐกิจพิเศษภาคตะวันออกหรืออีอีซี ที่นักลงทุนต่างชาติค่อนข้างสนใจหุ้นพื้นฐานของระบบโครงสร้างพื้นฐานไทยต้องได้รับการพัฒนา และการเมืองปกติ เหล่านี้น่าจะช่วยสนับสนุนการเติบโตทางเศรษฐกิจ จึงคาดว่าจะเติบโตไม่ต่ำกว่า 3.6% ส่วนเรื่องดอกเบี้ยนโยบาย มองว่าคณะกรรมการนโยบายการเงิน หรือ กนง.จะยังคงไว้ที่ 1.5% เพราะถือว่าเป็นอัตราที่ไม่ได้สูง เมื่อเทียบกับประเทศในกลุ่มอาเซียนด้วยกัน ถ้าจะขยับก็ยังมีความเสี่ยง แต่คิดว่าน่าจะมีการปรับในปี 2561 ทั้งนี้ จะต้องดูถึงการรักษาสภาพทางเศรษฐกิจในระยะยาว สำหรับค่าเงินบาทที่แข็งคงไม่ได้เป็นปัญหาเหมือนในอดีตแล้ว เนื่องจากทุกคนต่างใช้เครื่องมือบริหารความเสี่ยงกันทั้งหมด จึงกระทบต่อภาคการส่งออกน้อยลง” นางลัษมณกล่าว

นางลัษมณกล่าวว่า อย่างไรก็ตาม ถึงแม้ว่านโยบายการเงินอาจจะไม่ผ่อนคลายไปมากกว่านี้ แต่นโยบายการคลังจะยังคงมีลักษณะสนับสนุนการเจริญเติบโตทางเศรษฐกิจ ผ่านการใช้จ่ายภาครัฐ โดยเฉพาะการลงทุนโครงสร้างพื้นฐาน ซึ่งมีรัฐวิสาหกิจเป็นตัวขับเคลื่อนที่สำคัญ สำหรับในปี 2561 เอดีบีมองว่าความเสี่ยงต่อเศรษฐกิจไทยนั้น มีทั้งปัจจัยภายนอกและภายในประเทศ โดยปัจจัยภายนอกคือความผันผวนของตลาดเงินโลก นโยบายการคลังของโดนัลด์ ทรัมป์ ประธานาธิบดีของสหรัฐอเมริกา ขณะที่ปัจจัยภายในประเทศที่ต้องจับตามอง คือ การเลือกตั้ง ซึ่งคาดว่าจะมีขึ้นในปลายปี 2561 ตามแผนการดำเนินงานของรัฐบาลชุดปัจจุบัน

 

ที่มา : มติชนออนไลน์