“สมคิด” สั่ง สคร.เร่งติดตามโครงการ PPP ชะลอการดำเนินการ แนะดึงโครงการด้านสาธารณสุข-สังคม จูงใจเอกชนร่วมลงทุนด้วย ด้าน สคร.ชี้โควิดกระทบ 10 โครงการสำคัญดีเลย์ มูลค่าหลายแสนล้าน
นายสมคิด จาตุศรีพิทักษ์ รองนายกรัฐมนตรี เปิดเผยภายหลังการประชุมคณะกรรมการนโยบายการร่วมลงทุนระหว่างรัฐและเอกชน (PPP) ครั้งที่ 2/2563 ว่า ไวรัสโควิด-19 แพร่ระบาด ส่งผลให้โครงการสำคัญหลายโครงการชะลอการดำเนินการ จึงได้สั่งให้สำนักงานคณะกรรมการนโยบายรัฐวิสาหกิจ (สคร.) ติดตามสาเหตุของโครงการที่มีการชะลอการดำเนินการ พร้อมกันนี้ ยังต้องการสนับสนุนโครงการร่วมลงทุนมากกว่าโครงสร้างพื้นฐาน ซึ่งจะต้องมีทั้งโครงการเชิงสังคม และโครงการด้านภาคบริการทางด้านการแพทย์ จึงได้สั่งให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้อง ไปพิจารณาแนวทางจูงใจให้เอกชนเข้าร่วมลงทุน ทั้งโครงการที่อยู่อาศัย โลจิสติกส์ ท่องเที่ยว และการเกษตร
- ประกาศแล้ว! พระราชกฤษฎีกาเงินช่วยค่าครองชีพผู้รับเบี้ยหวัดบำนาญ รับ 11,000 บาทต่อเดือน
- บังคับใช้แล้ว! หลักเกณฑ์การดำเนินงาน 30 บาทรักษาทุกที่ ด้วยบัตรประชาชนใบเดียว
- อะไรทำให้ “ทองคำ” แพง สงคราม หรือการเก็งกำไร ?
นายอุตตม สาวนายน รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง กล่าวว่า เนื่องจากในสถานการณ์เช่นนี้ สิ่งที่จะช่วยประคองเศรษฐกิจจะต้องอาศัยการลงทุน และการบริโภคภายในประเทศ ฉะนั้น จะให้ สคร.เข้าไปหารือร่วมกับหน่วยงานเจ้าของโครงการ ถึงปัญหาโครงการที่มีการชะลอการดำเนินการ ในฐานะที่ทำหน้าที่กำกับดูแลรัฐวิสาหกิจ แล้วนำมารายงานในที่ประชุมครั้งต่อไป และเชิญหัวหน้าในโครงการใหญ่ๆ มาหารือร่วมกันในเรื่องที่ชะลอการดำเนินการด้วย เพื่อหาแนวทางในการเร่งดำเนินการต่อไป
ด้าน นายชาญวิทย์ นาคบุรี รองผู้อำนวยการ สคร. กล่าวว่า ภายใต้แผนการร่วมลงทุนระหว่างรัฐกับเอกชน ระหว่างปี พ.ศ. 2563 – 2570 มีทั้งสิ้นกว่า 90 โครงการ คิดเป็นมูลค่ารวมทั้งสิ้น 1.09 ล้านล้านบาท โดยในจำนวนดังกล่าว มีโครงการที่สำคัญและความจำเป็นเร่งด่วนอยู่ 18 โครงการ มูลค่ารวมทั้งสิ้น 4.72 แสนล้านบาท ซึ่งมีทั้งโครงการสาธารณะและเชิงสังคม โดยในส่วนนี้ จำนวน 10 โครงการ คิดเป็นมูลค่าหลายแสนล้านบาท เป็นโครงการที่มีการชะลอการดำเนินการ หลังจากที่ไวรัสวิด-19 แพร่ระบาด ซึ่งบางโครงการอยู่ระหว่างคัดเลือกเอกชนเข้ามาร่วมลงทุน หรือบางโครงการอยู่ระหว่างการดำเนินการตามกระบวนการ PPP
อย่างไรก็ตาม ที่ประชุมได้กำชับ สำหรับโครงการ PPP จะต้องวางระบบที่จะดูแลในเรื่องดังกล่าวอย่างใกล้ชิด หากโครงการของหน่วยงานนั้นๆ ไม่เป็นไปตามกรอบเวลาที่กำหนดไว้ จะมีการเรียกหน่วยงานเจ้าของโครงการเข้าร่วมการประชุมกับคณะกรรมการฯ ในครั้งถัดไป และนอกจากนั้น ยังได้สั่งการไปถึงการให้รัฐวิสาหกิจเร่งเบิกจ่ายงบการลงทุนให้เร็วที่สุด
“ตัวอย่างโครงการที่มีการดำเนินการล่าช้าใน 18 โครงการสำคัญ เช่น โครงการระหว่างเมือง ของกรมทางหลวง ซึ่งขณะนี้ขั้นตอนอยู่ระหว่างการเตรียมเสนอเข้าสู่คณะรัฐมนตรี (ครม.) แล้ว แต่ยังล่าช้ากว่าแผนนิดหน่อย เนื่องจากมีบางขั้นตอนติดขัดจากสถานการณ์โควิด อย่างโครงการรถไฟสายสีเหลือง ก็เกิดกระบวนการล่าช้า รวมทั้งโครงการเชิงสังคม เช่น โครงการของกรมการแพทย์ มูลค่ากว่า 8.5 พันล้านบาท ซึ่งอยู่ระหว่างการหาเอกชนเข้ามาลงทุนในการก่อสร้างโรงพยาบาล รายละเอียดของโครงการยังไม่ครบถ้วน จึงให้หน่วยงานดังกล่าวกลับไปแก้ไขเพิ่มเติม และยังมีโครงการซีเนียร์คอมเพล็กซ์ มูลค่า 3.4 พันล้านบาท โดยจะให้กรมกิจการผู้สูงอายุเข้ามาร่วมดำเนินการต่อไป” นายชาญวิทย์กล่าว
ทั้งนี้ นายประภาศ คงเอียด ผู้อำนวยการ สคร. กล่าวว่า ที่ประชุมคณะกรรมการฯ ยังได้เห็นชอบร่างกฎหมายลำดับรองภายใต้ พ.ร.บ.การร่วมลงทุนฯ ปี 2562 ในเรื่องหลักเกณฑ์และวิธีการดำเนินการโครงการร่วมลงทุนที่มีมูลค่าต่ำกว่าที่กำหนดในมาตรา 9 แห่ง พ.ร.บ.การร่วมลงทุนฯ ปี 2562 (สำหรับโครงการที่มีมูลค่าต่ำกว่า 5,000 ล้านบาท) ซึ่งจะทำให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้องมีกฎหมายลำดับรองที่ใช้สำหรับการเสนอโครงการครบถ้วน และเป็นประโยชน์ต่อการส่งเสริมการร่วมลงทุนระหว่างรัฐและเอกชน