จ้าง”เคทีซีมิโก้”ตีราคาหุ้นคลัง สคร.ลุยโละหลักทรัพย์รัฐถือต่ำกว่า50%

สคร.จ้าง “บล.เคทีซีมิโก้” ประเมินราคาหุ้นของรัฐ ก่อนทยอยขายหุ้นที่คลังถือต่ำกว่า 50% ในปีงบฯ 2561 เผยปัจจุบันคลังถือครองหลักทรัพย์รวมทั้งรัฐวิสาหกิจและเอกชน มูลค่ากว่า 1.1 ล้านล้านบาท ยันไม่ขายรัฐวิสาหกิจ-วายุภักษ์หนึ่ง แน่

นายเอกนิติ นิติทัณฑ์ประภาศ ผู้อำนวยการสำนักงานคณะกรรมการนโยบายรัฐวิสาหกิจ (สคร.) เปิดเผย “ประชาชาติธุรกิจ” ว่า ในปีงบประมาณ 2561 นี้ สคร.มีภารกิจหลัก 3 ด้านต้องขับเคลื่อน โดยหนึ่งในนั้น คือ การจัดทำยุทธศาสตร์บริหารหลักทรัพย์ภาครัฐ หรือหุ้นในบริษัทที่กระทรวงการคลังถืออยู่ต่ำกว่า 50% ขณะนี้ได้ว่าจ้างบริษัท หลักทรัพย์ เคทีซีมิโก้ จำกัด เข้ามาเป็นที่ปรึกษาประเมินราคาหลักทรัพย์ทั้งหมดแล้ว และจะเห็นแผนที่ออกมาชัดเจนภายในปีงบประมาณ 2561

“จะต้องดูว่า หุ้นบริษัทไหนที่ไม่จำเป็นต้องถือไว้ โดยดูว่าต้องถือไว้เป็นยุทธศาสตร์ของประเทศหรือไม่ ถ้าไม่ใช่ เราก็ต้องขาย ตอนนี้ก็กำลังดูรายละเอียดอยู่ เพราะการขายพวกนี้ต้องดูราคา ห้ามต่ำกว่าต้นทุน ซึ่งหุ้นหลายบริษัทก็ไม่ได้อยู่ในตลาดหลักทรัพย์ฯ อย่างพวกหุ้นบริษัทที่ได้มาจากการยึดทรัพย์ ก็ต้องประเมินออกมาให้ถูกต้อง ทำให้เป็นธรรม ตอนนี้ก็ให้เขาประเมินราคาอยู่”

นายเอกนิติกล่าวว่า ปัจจุบันหลักทรัพย์ที่คลังถือครองมีอยู่กว่า 100 หลักทรัพย์ เป็นมูลค่าราว 1.1 ล้านล้านบาท อย่างไรก็ดี การขายหลักทรัพย์ออกไป จะไม่รวมรัฐวิสาหกิจ และกองทุนรวมวายุภักษ์ หนึ่ง แต่จะขายเฉพาะหลักทรัพย์ที่กระทรวงการคลังถือหุ้นอยู่ต่ำกว่า 50% และหมดความจำเป็นต้องถือไว้ ซึ่งที่ผ่านมา สคร. ได้ขอคณะรัฐมนตรี (ครม.) มีมติเห็นชอบการบริหารจัดการหลักทรัพย์ดังกล่าวไว้แล้ว

ส่วนอีก 2 ภารกิจหลัก จะมีเรื่องการพัฒนารัฐวิสาหกิจ ซึ่งกฎหมายใหม่ คือร่างพระราชบัญญัติการพัฒนาการกำกับดูแลและบริหารรัฐวิสาหกิจ พ.ศ. … ที่กำลังพิจารณาในสภานิติบัญญัติแห่งชาติ (สนช.) จะมีบทบาทอย่างมาก ส่วนอีกเรื่องคือ การทำกระบวนการให้เอกชนร่วมลงทุนในกิจการของรัฐที่ใช้รูปแบบ PPP Fasttrack ให้เป็นมาตรการถาวร โดยการแก้ไขพระราชบัญญัติการให้เอกชนร่วมลงทุนในกิจการของรัฐ พ.ศ. 2556 ให้เสร็จภายในปีงบประมาณ 2561 นี้

แหล่งข่าวจากกระทรวงการคลัง เปิดเผยว่า เมื่อต้นปี 2559 กระทรวงคลังได้ขอ ครม.อนุมัติให้ปรับปรุงมติ ครม. เมื่อ 1 มี.ค. 2554 เรื่อง การจำหน่ายหลักทรัพย์ของรัฐ ที่ ครม.เคยอนุมัติหลักการให้สามารถจำหน่ายหลักทรัพย์ที่ไม่ได้จดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย (ตลท.) และเป็นหลักทรัพย์ที่กระทรวงการคลังถือหุ้นต่ำกว่า 50%

โดยขออนุมัติหลักการให้จำหน่ายหลักทรัพย์ที่ไม่ได้จดทะเบียนใน ตลท. และจดทะเบียนใน ตลท. และกระทรวงคลังถือหุ้นต่ำกว่า 50% ที่มีลักษณะ ได้แก่ 1) ได้มาจากการยึดทรัพย์ 2) ได้รับโอนมาจากส่วนราชการอื่น เนื่องจากหมดความจำเป็นตามนโยบายของภาครัฐ และ 3) ภาครัฐไม่จำเป็นต้องถือครอง หรือ เอกชนดำเนินการได้ดีอยู่แล้ว

ทั้งนี้ การปรับปรุงมติ ครม. ดังกล่าว เพื่อให้การบริหารจัดการหลักทรัพย์มีประสิทธิภาพมากขึ้น และเป็นการลดภาระการบริหารจัดการหุ้นที่กระทรวงการคลังหมดความจำเป็นในการถือครอง ซึ่งการจำหน่ายหุ้นตามแนวทางทั้งหมดนี้

ครม.เห็นควรมอบอำนาจให้กระทรวงการคลังเป็นผู้พิจารณาวิธีการจำหน่าย ราคาที่จะจำหน่าย และดำเนินการในส่วนที่เกี่ยวข้องกับการจำหน่ายหุ้นในทางที่ก่อให้เกิดประโยชน์สูงสุดต่อภาครัฐ และนำเงินเข้าบัญชีเงินฝากเพื่อการซื้อหุ้นตามระเบียบกระทรวงการคลังว่าด้วยการจำหน่ายหุ้นของส่วนราชการ พ.ศ. 2535 และที่แก้ไขเพิ่มเติม เพื่อนำเงินที่ได้ไปลงทุนในกิจการต่าง ๆ ตามแผนของกระทรวงการคลังต่อไป

ขณะที่ข้อมูลหลักทรัพย์ที่กระทรวงการคลังถือครอง ล่าสุด (ณ 31 พ.ค. 2560) มีจำนวนหุ้นบริษัทรวม 109 แห่ง มูลค่ารวม 1,148,030 ล้านบาท แบ่งเป็น หลักทรัพย์ที่อยู่ในตลาดหลักทรัพย์ฯ 20 แห่ง โดยเป็นรัฐวิสาหกิจ 6 แห่ง มูลค่า 483,431 ล้านบาท กับบริษัทเอกชน 14 แห่ง มูลค่า 26,173 ล้านบาท และหลักทรัพย์ที่ไม่ได้อยู่ในตลาดหลักทรัพย์ฯ 89 แห่ง ซึ่งเป็นรัฐวิสาหกิจ 17 แห่ง มูลค่า 287,993 ล้านบาท บริษัทเอกชน 72 แห่ง มูลค่า 5,165 ล้านบาท นอกจากนี้ มีหน่วยลงทุนคือ กองทุนรวมวายุภักษ์หนึ่ง มูลค่า 345,268 ล้านบาทด้วย