ตามที่พระราชกำหนดให้อำนาจกระทรวงการคลังกู้เงินเพื่อแก้ไขปัญหา เยียวยา และฟื้นฟูเศรษฐกิจและสังคม ที่ได้รับผลกระทบจากการระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรน่า 2019 พ.ศ. 2563 หรือ “พ.ร.ก.เงินกู้ 1 ล้านล้านบาท” ถูกรัฐบาลงัดออกมาใช้ เนื่องจากเห็นว่าการระบาดของไวรัสโควิด-19 ยังไม่สามารถคาดการณ์ได้ว่าจะสิ้นสุดลงเมื่อใด และยังทำให้ระบบเศรษฐกิจโลกและเศรษฐกิจไทยหดตัวอย่างรุนแรงและรวดเร็ว กระทบต่อประชาชนทุกสาขาอาชีพในวงกว้าง ซึ่งที่ผ่านมารัฐบาลได้ใช้งบประมาณแผ่นดินเข้าไปดูแล เพื่อหยุดยั้งและควบคุมการระบาด รวมถึงเยียวยาผู้ได้รับผลกระทบ แต่ยังไม่เพียงพอ
จึงต้องออก “กฎหมายพิเศษ” เพื่อกู้เงินนอกกรอบกฎหมายงบประมาณประจำปีมาใช้
- บังคับใช้แล้ว! หลักเกณฑ์การดำเนินงาน 30 บาทรักษาทุกที่ ด้วยบัตรประชาชนใบเดียว
- ตรวจหวย ใบตรวจหวย ผลรางวัล สลากกินแบ่งรัฐบาล งวด 16 เมษายน 2567
- ราคาทองวันนี้ (17 เม.ย. 67) พุ่งขึ้น 250 บาท ทองรูปพรรณ 41,950 บาท
ตีกรอบใช้จ่ายเงินกู้ 3 แผนงาน
ทั้งนี้ พ.ร.ก.เงินกู้ดังกล่าว แบ่งแผนงานการใช้เงินกู้ออกเป็น 3 แผนงานด้วยกัน ประกอบด้วย 1.แผนงานหรือโครงการที่มีวัตถุประสงค์ทางการแพทย์และสาธารณสุข เพื่อแก้ไขปัญหาการระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรน่า 2019 วงเงิน 4.5 หมื่นล้านบาท 2.แผนงานหรือโครงการที่มีวัตถุประสงค์เพื่อช่วยเหลือ เยียวยา และชดเชยให้กับภาคประชาชน เกษตรกร และผู้ประกอบการ ซึ่งได้รับผลกระทบจากสถานการณ์การระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรน่า 2019 วงเงิน 5.55 แสนล้านบาท และ 3.แผนงานหรือโครงการที่มีวัตถุประสงค์เพื่อฟื้นฟูเศรษฐกิจและสังคม ที่ได้รับผลกระทบจากการระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรน่า 2019 วงเงิน 4 แสนล้านบาท
แผนกู้ภายใน 2 ปีงบประมาณ
โดยกระทรวงการคลังได้ปรับแผนบรรจุการกู้เงินภายใต้ พ.ร.ก.เงินกู้นี้ ไว้ในแผนบริหารหนี้สาธารณะประจำปีงบประมาณ 2563 (ต.ค. 2562-ก.ย. 2563) ทั้งสิ้น 6 แสนล้านบาท และมีแผนว่าจะบรรจุไว้ในแผนบริหารหนี้สาธารณะประจำปีงบประมาณ 2564 (ต.ค. 2563-ก.ย. 2564) อีก 4 แสนล้านบาท
ทยอยกู้แล้วเกือบ 3 แสนล้าน
สำหรับช่วงเวลากว่า 2 เดือนเศษที่ผ่านมา หลังกฎหมายมีผลบังคับใช้เมื่อวันที่ 19 เม.ย. 2563 พบว่า รัฐบาลมีการกู้เงินมาใช้สำหรับแผนงานการจ่ายเยียวยาผู้ได้รับผลกระทบไปแล้ว 2.82 แสนล้านบาท แบ่งเป็น การกู้เงินโดยการออกตั๋วสัญญาใช้เงิน (P/N) ครั้งที่ 1 วงเงิน 7 หมื่นล้านบาท, การกู้เงินโดยการออกตั๋วสัญญาใช้เงิน ครั้งที่ 2 วงเงิน 5 หมื่นล้านบาท, การออกพันธบัตรออมทรัพย์พิเศษรุ่นเราไม่ทิ้งกัน วงเงิน 5 หมื่นล้านบาท, การกู้เงินโดยการออกตั๋วสัญญาใช้เงิน ครั้งที่ 3 วงเงิน 5 หมื่นล้านบาท และการจำหน่ายพันธบัตรรัฐบาล ครั้งที่ 1 วงเงิน 4.23 หมื่นล้านบาท
6 แบงก์ชนะประมูลปล่อยกู้
ซึ่งในส่วนของการกู้เงินในรูปตั๋ว P/N นั้น พบว่ามีจำนวน 6 แบงก์ ที่ชนะประมูลปล่อยกู้ให้ภาครัฐ
เริ่มกู้แผนงานฟื้นฟูลอตแรก
นอกจากนี้ “แพตริเซีย มงคลวนิช” ผู้อำนวยการสำนักงานบริหารหนี้สาธารณะ (สบน.) ระบุว่า ล่าสุดได้เปิดประมูลพันธบัตรรัฐบาล อายุ 10 ปี วงเงิน 2.2 หมื่นล้านบาท ไปเมื่อวันที่ 8 ก.ค.ที่ผ่านมา เพื่อนำวงเงินกู้ดังกล่าวไปรองรับการจ่ายเงินเยียวยาผู้ที่ได้รับผลกระทบจากไวรัสโควิด-19 ทั้งกลุ่มเกษตรกรที่เหลือจ่ายในลอตสุดท้าย และกลุ่มเปราะบาง
จากนั้นในวันที่ 14 ก.ค.นี้ ก็จะมีการเปิดประมูลเงินกู้อีกในวงเงิน 3 หมื่นล้านบาท ในรูปแบบ term loan อายุ 4 ปี ทั้งนี้ วงเงินส่วนนี้จะใช้รองรับมาตรการท่องเที่ยว และมาตรการอื่น ๆ ที่จำเป็นจะต้องใช้เงินตามมติของ ครม.
“การออกพันธบัตรกู้เงินวงเงิน 2.2 หมื่นล้านบาท เพื่อจ่ายเงินเยียวยาเกษตรกรลอตสุดท้าย และกลุ่มเปราะบาง หากวงเงินส่วนนี้ยังเหลือก็จะนำไปใช้ในมาตรการด้านการท่องเที่ยวด้วย” นางแพตริเซียกล่าว
นอกจากนี้ แม้ว่า สบน.จะวางกรอบไว้ว่า ในปีงบประมาณ 2563 นี้จะกู้เงินภายใต้ พ.ร.ก. ในกรอบวงเงิน 6 แสนล้านบาท อย่างไรก็ดี หากมีความจำเป็นที่จะใช้มากกว่า 6 แสนล้านบาท ก็สามารถปรับวงเงินได้ รวมถึงการจัดสรรก็ไม่ได้กำหนดตายตัวว่า ต้องกู้มาใช้จ่ายเยียวยาเพียงอย่างเดียว แต่หากมีโครงการด้านการฟื้นฟูที่เริ่มได้ก่อนก็สามารถใช้เงินกู้ได้ทันที
“ตอนนี้แผนการใช้เงินเริ่มมีวงเงินเพิ่มขึ้นมาแล้ว เพราะมาตรการท่องเที่ยวเริ่มออก ดังนั้น สบน.จึงไม่ได้จัดสรรตายตัวว่าอะไรต้องจ่ายไปที่ไหน แต่ส่วนใหญ่ก็คงยังเป็นการใช้จ่ายเพื่อการเยียวยาอยู่ และบางส่วนก็จะนำไปใช้จ่ายมาตรการท่องเที่ยวด้วย เพราะอาจจะมีคนออกไปเที่ยวเร็ว ก็อาจจะนำไปใช้ในส่วนนั้นได้ก่อน” นางแพตริเซียกล่าว
ครม.ไฟเขียวกู้อีก 1.5 หมื่นล้าน
ขณะที่ล่าสุด ครม.ได้เห็นชอบหลักการข้อเสนอโครงการและแผนงานที่ขอให้เงินกู้จาก พ.ร.ก.เงินกู้ 1 ล้านล้านบาท ที่คณะกรรมการกลั่นกรองการใช้จ่ายเงินกู้เสนอมาให้พิจารณาในรอบแรก จำนวน 186 โครงการ วงเงิน 92,400 ล้านบาท โดยอนุมัติจัดสรรงบประมาณรอบแรกให้แก่ 5 โครงการ ที่เน้นการจ้างงาน สร้างอาชีพ ในระดับเศรษฐกิจฐานราก จำนวน 15,520.096 ล้านบาทก่อน
โดย “พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา” นายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม กล่าวว่า เงินกู้ 4 แสนล้านบาท หลักการสำคัญ คือ เน้นการกระตุ้นผู้บริโภค กระตุ้นการท่องเที่ยว เพื่อให้กลไกตลาด สามารถกลับมาเดินได้ตามปกติ ช่วยเหลือ SMEs ให้สามารถเข้าถึงแหล่งเงินทุน เพื่อให้มีสภาพคล่องในการเดินหน้าธุรกิจ ช่วยเหลือเศรษฐกิจฐานราก เศรษฐกิจชุมชน การรักษาระดับการจ้างงาน ช่วยเหลือบัณฑิตจบใหม่ให้มีงานทำ เป็นหลักการสำคัญ
“ขณะนี้ คณะกรรมการกลั่นกรองฯ กำลังพิจารณากันอยู่ว่า กรอบเงิน 4 แสนล้านบาท จะแบ่งเป็นกลุ่มใดบ้าง และผมได้ให้แนวทางไปว่า เราจะอนุมัติ เป็นระยะ ๆ ไป ไม่ใช่อนุมัติทีเดียวทั้งหมด เพื่อที่จะมีการประเมิน ปรับแผน ซึ่งอาจจะทำเป็น 2 หรือ 3 ระยะ ใน 3 เดือน เพื่อให้เงินสามารถหมุนเวียนส่งต่อไป ยังเศรษฐกิจฐานรากได้อย่างแท้จริง” พล.อ.ประยุทธ์กล่าว
สบน.จัดสรรเงินกู้ใน 15 วัน
ซึ่งในส่วนนี้ ผู้อำนวยการ สบน.ระบุว่า โครงการที่ผ่าน ครม.แล้ว เมื่อต้องการจะใช้เงินกู้ จะต้องแจ้งความประสงค์มาที่ สบน. เพื่อดำเนินการกู้เงินและจัดสรรเงินให้ภายใน 15 วัน ซึ่งหากมีบางโครงการแจ้งความประสงค์ขอใช้เงินเข้ามาภายในเดือน ก.ค.นี้ สบน.ก็จะจัดสรรเงินให้จากวงเงินที่เหลืออยู่จากที่มีการกู้ไปก่อนหน้านี้
“ล่าสุดเมื่อวันที่ 8 ก.ค. สบน.เพิ่งกู้เงินเข้ามาใส่ในกระเป๋า 2.2 หมื่นล้านบาท ส่วนระยะต่อไป หากมีความจำเป็นที่จะต้องใช้อีก เราก็จะทยอยกู้เงินเพิ่มให้ อย่างไรก็ดี โครงการส่วนใหญ่ที่ผ่าน ครม.จะขอใช้เงินเป็นราย 3 เดือน หรือ 6 เดือน ซึ่งหน่วยงานที่ดูแลโครงการนั้น ๆ จะแจ้ง สบน.ล่วงหน้าว่าจะใช้เงินจำนวนเท่าไหร่ในแต่ละช่วง ซึ่งจะแตกต่างจากมาตรการเยียวยาที่แจ้งความประสงค์ขอใช้เงินเป็นรายวัน” นางแพตริเซียกล่าว
ในภาวะที่แบงก์ต้องเข้มงวดการปล่อยกู้ให้ภาคเอกชนอย่างในปัจจุบัน การมี พ.ร.ก.เงินกู้ 1 ล้านล้านบาทขึ้นมา จึงถือเป็น “เค้กก้อนโต” ที่แบงก์จะเข้ามาแข่งขันกันปล่อยกู้ เพราะมีความเสี่ยงต่ำนั่นเอง