“หุ้นโรงพยาบาล” ซมพิษโควิด-กำไรหด ลุ้น “แทรเวลบับเบิล” ช่วยฟื้น

โรงพยาบาล หุ้นโรงพยาบาล

“หุ้นโรงพยาบาล” ซมพิษโควิด-กำไรหด ลุ้น “แทรเวลบับเบิล” ตัวช่วยฟื้นผลประกอบการ

หุ้นโรงพยาบาลรอปัจจัยบวก “travel bubble” ฟื้นผลประกอบการ โบรกฯ คาดการณ์กำไรทั้งปีหดตัว 12-22% อ่วมผลกระทบโควิด-19 “หยวนต้า” จับตาหุ้น BCH เด่นโตสวนตลาดโกยรายได้รับตรวจโควิด “เอเซีย พลัส” ชี้ธุรกิจโรงพยาบาลเริ่มฟื้นจากผู้ป่วยในประเทศ ส่วนผู้ป่วยต่างประเทศต้องรอนโยบายรัฐหนุน ฟากเครือ “รพ.ธนบุรี” เตรียมพร้อมอ้าแขนรับคนไข้ต่างชาติสมัครเป็น รพ.ทางเลือก

นายณัฐพล คำถาเครือ ผู้อำนวยการฝ่ายวิเคราะห์หลักทรัพย์ บริษัทหลักทรัพย์ (บล.) หยวนต้า (ประเทศไทย) เปิดเผยว่าฝ่ายวิจัยคาดว่ากำไรบริษัทจดทะเบียน (บจ.) กลุ่มโรงพยาบาลปี 2563 จะปรับตัวลดลง 12% เมื่อเทียบกับปีก่อน จากผลกระทบไวรัสโควิด-19 โดยคาดว่ากำไรงวดไตรมาส 2 จะเป็นจุดต่ำสุดของปีนี้ จากที่ในเดือน เม.ย.-พ.ค. จำนวนผู้ป่วยลดลงอย่างรุนแรง ทั้งลูกค้าต่างชาติและลูกค้าชาวไทย

ขณะที่สถานการณ์ในเดือน มิ.ย.เริ่มกลับมาดีขึ้น มีผู้ป่วยชาวไทยเริ่มกลับมาใช้บริการโรงพยาบาลมากขึ้น รวมถึงในไตรมาส 3 ที่ปกติจะเป็นไฮซีซั่นของกลุ่มโรงพยาบาล เนื่องจากจะมีไข้ตามฤดูกาลที่จะหนุนให้ปริมาณผู้ป่วยที่เข้ารับการรักษาเริ่มกลับมา

เลื่อน Travel Bubble

ส่วนโครงการจับคู่เดินทาง (travel bubble) เดิมคาดว่าจะเกิดขึ้นเร็ว ๆ นี้ และจะส่งผลบวกต่อโรงพยาบาลที่มีสัดส่วนลูกค้าชาวต่างชาติสูง อย่างไรก็ดี ปัจจุบันภาครัฐยืดเวลาพิจารณาออกไป แต่ยังอนุญาตให้ผู้ป่วยต่างชาติที่มีการรักษาในไทยเดินทางเข้ามารับการรักษาในประเทศได้ โดยจะต้องกักตัวภายในโรงพยาบาล 14 วัน ซึ่งโรงพยาบาลที่จดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์ฯ มีศักยภาพสามารถรองรับผู้ป่วยกลุ่มนี้ได้

“เราต้องยอมรับว่า ปีนี้จากเดิมที่เราคิดว่าผู้ป่วยต่างชาติจะกลับมาเร็วหรือมากเท่าเดิม ตอนนี้คงเป็นไปได้ยากซึ่งก็ส่งผลกระทบต่อกลุ่มโรงพยาบาลให้การฟื้นตัวที่เดิมเราคาดว่าจะเห็นเร็ว ๆ นี้ เลื่อนออกไป รวมถึงปัจจัยการระบาดรอบ 2 ที่เกิดขึ้นในประเทศ ก็ส่งผลให้คนไม่กล้าไปโรงพยาบาล”

ด้านกลยุทธ์การลงทุน ในระยะสั้นแนะนำเลือกลงทุนหุ้นโรงพยาบาลที่มีสัดส่วนผู้ป่วยต่างชาติไม่สูงนัก อาทิ บมจ.บางกอก เชน ฮอสปิทอล (BCH) ที่มีสัดส่วนผู้ป่วยต่างชาติประมาณ 10% เท่านั้น อีกทั้งแนวโน้มกำไรไตรมาส 2 คาดว่าจะทรงตัวสวนทางกับโรงพยาบาลอื่น ๆ ที่จะเห็นกำไรติดลบเมื่อเทียบกับไตรมาสแรก และเมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันปีก่อน เนื่องจากมีรายได้จากการรับตรวจเชื้อโควิด-19

ทั้งนี้ บล.หยวนต้าแนะนำ “ซื้อ” BCH ราคาเป้าหมาย 17.50 บาท ส่วน บมจ.กรุงเทพดุสิตเวชการ (BDMS) และ บมจ.โรงพยาบาลบำรุงราษฎร์ (BH) แนะนำหลีกเลี่ยงลงทุน เนื่องจากมีสัดส่วนลูกค้าชาวต่างชาติสูงที่ประมาณ 20% และ 30-40% ตามลำดับ

นายสุวัฒน์ วัฒนพรพรหม ผู้ช่วยผู้อำนวยการสายงานวิจัย บล.เอเซีย พลัส กล่าวว่า สถานการณ์ธุรกิจโรงพยาบาลขณะนี้ได้รับปัจจัยบวกจากจำนวนผู้ป่วยในประเทศที่ค่อย ๆ ฟื้นตัวหลังการประกาศคลายล็อกดาวน์ ขณะที่ความต้องการใช้บริการจากผู้ป่วยต่างประเทศ ยังคงต้องรอติดตามมาตรการผ่อนคลายจากภาครัฐว่าจะมีทิศทางอย่างไร

อย่างไรก็ตาม ความเสี่ยงภาวะเศรษฐกิจอาจกระทบกำลังซื้อของผู้ป่วย เนื่องจากกลุ่มโรงพยาบาลที่จดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์ฯ ส่วนใหญ่เป็นโรงพยาบาลระดับพรีเมี่ยม ทั้งนี้ หากพิจารณากำไรไตรมาส 2 คาดว่า BCH จะสามารถประคองรายได้สวนทางกับโรงพยาบาลอื่น ๆ ในกลุ่ม เนื่องจากมีรายได้จากการรับตรวจหาเชื้อโควิด-19 จึงแนะนำซื้อที่ราคาเป้าหมาย 18.70 บาท

วิเคราะห์กำไรโรงพยาบาล 2563

ขณะที่ทิศทางกำไรปี 2563 ของโรงพยาบาลที่ฝ่ายวิจัยจัดทำประมาณการครอบคลุม ได้แก่ BDMS, BH, BCH, CHG (บมจ.โรงพยาบาลจุฬารัตน์), RJH (บมจ.โรงพยาบาลราชธานี) และ PR9 (บมจ.โรงพยาบาลพระรามเก้า) คาดว่าจะลดลง 22.4% จากช่วงเดียวกันปีก่อนอยู่ที่ 12,838 ล้านบาท

นายแพทย์ธนาธิป ศุภประดิษฐ์ รองประธานกรรมการ บมจ.ธนบุรี เฮลท์แคร์ กรุ๊ป (THG) กล่าวว่า ในเดือน มิ.ย.ที่ผ่านมา สถานการณ์ธุรกิจโรงพยาบาลเริ่มปรับตัวดีขึ้น เมื่อเทียบกับเดือน มี.ค.-พ.ค. หลังจากประเทศไทยสามารถป้องกันการแพร่ระบาดของโควิด-19 ในช่วงที่ผ่านมาได้ดี ประกอบกับมีการยกเลิกมาตรการเคอร์ฟิว การผ่อนคลายมาตรการล็อกดาวน์อย่างต่อเนื่อง ตลอดจนการดำเนินการด้านสุขอนามัยภายในโรงพยาบาลของกลุ่ม THG ส่งผลให้ประชาชนมีความมั่นใจในการเข้าใช้บริการเพิ่มขึ้น

“ปริมาณคนไข้ในโรงพยาบาลหลักในเดือน มิ.ย.ที่ผ่านมา ได้แก่ รพ.ธนบุรี ปรับตัวเพิ่มขึ้นได้ดี ปัจจุบันถือว่าอยู่ในระดับใกล้เคียงกับช่วงก่อนเกิดโรคระบาดแล้ว เนื่องจากมีคนไข้โรคทั่วไปเข้าใช้บริการเพิ่มขึ้น ส่วนรพ.ธนบุรี 2 มีปริมาณคนไข้เพิ่มขึ้นในระดับที่น่าพอใจ ถือเป็นสัญญาณการฟื้นตัวที่ดี”

ขณะที่ รพ.ธนบุรี บำรุงเมือง ซึ่งเป็นโรงพยาบาลแห่งใหม่ที่เปิดให้บริการช่วงต้นปี 2562 และมีคนไข้หลักเป็นชาวต่างชาติ คาดว่าจะมีผลการดำเนินงานที่ดีขึ้น เมื่อรัฐบาลเริ่มผ่อนคลายให้ชาวต่างชาติและกลุ่มท่องเที่ยวเชิงสุขภาพ สามารถเดินทางเข้ามารักษาตัวในประเทศไทยได้

นายแพทย์ธนาธิปกล่าวด้วยว่า รพ.ในเครือ THG 3 แห่ง ได้แก่ รพ.ธนบุรี รพ.ธนบุรี บำรุงเมือง และ รพ.อุบลรักษ์ ธนบุรี ได้สมัครเป็นโรงพยาบาลทางเลือก (alternative hospital quarantine) เพื่อรองรับคนไข้ชาวต่างชาติที่รอเดินทางเข้ามารับการรักษาอีกด้วย

 


คาดการณ์ ผลกำไร หุ้นกลุ่มโรงพยาบาล 2563