เปิดโผกอง”รีท-อินฟราฯ”ยีลด์สูงฝ่าไวรัส

โบรกฯหนุนลงทุน “กองรีท-อินฟราฯฟันด์” จ่ายผลตอบแทนสูงฝ่าภาวะตลาดผันผวน “บล.กสิกรไทย” เปิดโผ 4 กองทุน “JASIF-SUPEREIF-B-WORK-HREIT” รีเทิร์นเด่น 6.4-10% ขณะที่กลุ่มน้ำตาลครบุรีประเดิมปี”63 ตั้งกองทุนโครงสร้างพื้นฐาน “KBSPIF” ลงทุนโรงไฟฟ้าชีวมวล เสนอยีลด์เฉียด 9%

พิสุทธิ์ งามวิจิตวงศ์

นายพิสุทธิ์ งามวิจิตวงศ์ ผู้อำนวยการอาวุโสฝ่ายวิเคราะห์หลักทรัพย์ บริษัทหลักทรัพย์ (บล.) กสิกรไทย เปิดเผย “ประชาชาติธุรกิจ” ว่า การลงทุนในทรัสต์เพื่อการลงทุนในอสังหาริมทรัพย์ (REIT) กองทุนรวมอสังหาริมทรัพย์ (property fund) และกองทุนรวมโครงสร้างพื้นฐาน (infrastructure fund) ถือว่ายังมีความจำเป็น เพื่อบาลานซ์พอร์ต แม้ว่าปีนี้อาจไม่คึกคักมากนัก เนื่องจากราคาหุ้นไม่หวือหวาเท่าในปี 2562 ที่ผ่านมา รวมถึงภาวะดอกเบี้ยค่อนข้างนิ่ง ส่งผลให้ลูกค้าไม่ได้สนใจลงทุนในหลักทรัพย์กลุ่มนี้เป็นพิเศษก็ตาม

“หุ้นกลุ่มนี้มีความปลอดภัยมาก ๆ (defensive) และให้ผลตอบแทนค่อนข้างสม่ำเสมอ จึงเหมาะสำหรับการกระจายการลงทุนประมาณ 20-30% เพราะหุ้นทั้งหมดในพอร์ตของเราก็ไม่ควรจะเป็นหุ้นซิ่งที่ขึ้นเร็วลงเร็วทุกตัว ดังนั้น กลุ่มนี้แนะนำว่า ต้องมีไว้”

โดยหุ้นเด่นในกลุ่มดังกล่าวที่ฝ่ายวิจัย บล.กสิกรไทย แนะนำลงทุน ได้แก่ กองทุนรวมโครงสร้างพื้นฐานบรอดแบนด์อินเทอร์เน็ต จัสมิน (JASIF), กองทุนรวมโครงสร้างพื้นฐานโรงไฟฟ้า ซุปเปอร์ เอนเนอร์ยี (SUPEREIF), ทรัสต์เพื่อการลงทุนในสิทธิการเช่าอสังหาริมทรัพย์บัวหลวง ออฟฟิศ (B-WORK) และทรัสต์เพื่อการลงทุนในสิทธิการเช่าอสังหาริมทรัพย์เหมราช (HREIT) เนื่องจากทั้ง 4 หลักทรัพย์ได้รับผลกระทบจากภาวะเศรษฐกิจค่อนข้างจำกัด รวมถึงไม่ได้รับผลกระทบจากแนวโน้มงบกำไรของบริษัทจดทะเบียน (บจ.) ที่ปรับลดลง อีกทั้งระยะสั้นในปี 2563 มีระดับผลตอบแทนที่น่าจูงใจ และมีความผันผวนต่ำ

ทั้งนี้ JASIF ประมาณการผลตอบแทน 10% สูงสุดในกลุ่มกองทุนรวมโครงสร้างพื้นฐาน SUPEREIF 6.4%, B-WORK 6.6% และ HREIT 7.1%

นายพิสุทธิ์กล่าวว่า ส่วนปัจจัยเสี่ยงของการลงทุนในกองทุนเหล่านี้ ได้แก่ อัตราผลตอบแทนที่ค่อนข้างคงที่ ซึ่งอาจทำให้ความน่าสนใจลงทุนลดลงในภาวะที่อัตราผลตอบแทนพันธบัตรรัฐบาลปรับขึ้นอย่างรวดเร็วในเวลาอันสั้น รวมถึงปัจจัยเสี่ยงเฉพาะในแต่ละธุรกิจ อาทิ ธุรกิจขนส่งมวลชนที่รายได้หายไปราว 50-60% จากผลกระทบโควิด-19 และความเสี่ยงความน่าเชื่อถือของผู้จัดการกองทรัสต์ หรือผู้บริหารกอง

นายอิสระ ถวิลเติมทรัพย์ กรรมการ บมจ.น้ำตาลครบุรี (KBS) กล่าวว่า บริษัท ผลิตไฟฟ้าครบุรี จำกัด (KPP) ซึ่งกลุ่มน้ำตาลครบุรีถือหุ้น 99.99% ได้จัดตั้งกองทุนรวมโครงสร้างพื้นฐานโรงไฟฟ้ากลุ่มน้ำตาลครบุรี (KBSPIF) เพื่อลงทุนในกิจการโครงสร้างพื้นฐานประเภทโรงไฟฟ้า โดยจะเสนอขายครั้งแรก (IPO) ระหว่างวันที่ 4-7 ส.ค. 2563 ที่ราคาหน่วยละ 10 บาท

ทั้งนี้ KBSPIF ประมาณการผลตอบแทนปีแรกที่ 8.95% แบ่งเป็น ผลตอบแทนที่มาจากเงินปันผล 6.24% และที่เหลืออีก 2.71% เป็นการคืนสภาพคล่องส่วนเกินแก่ผู้ถือหน่วย ขณะที่อัตราผลตอบแทนภายใน (IRR) อยู่ที่ 7% ตลอดอายุสัญญาขายไฟฟ้า 20 ปี ที่บริษัททำกับการไฟฟ้าฝ่ายผลิตแห่งประเทศไทย (EGAT) และ KPP

“ช่วงดอกเบี้ยขาลง และตลาดหุ้นมีความผันผวน กองทุนรวมโครงสร้างพื้นฐาน KBSPIF ถือเป็นตัวเลือกลงทุนที่น่าสนใจ โดยปีนี้กองทุนโครงสร้างพื้นฐาน น่าจะมีแต่ KBSPIF เป็นเพียงกองทุนเดียวที่ขาย IPO ซึ่งปัจจุบันสรรพากรให้สิทธิพิเศษการลงทุนแก่นักลงทุนทุกประเภทที่จะไม่ต้องเสียภาษี ณ ที่จ่าย 10% เป็นเวลา 10 ปี นับตั้งแต่วันจัดตั้งกองทุน”