ส่องเทรนด์ กองทุนหุ้นจีน มาแรง บลจ.ทั่วโลกแห่ล่า

FILE PHOTO: A man wearing a protective mask is seen inside the Shanghai Stock Exchange building, as the country is hit by a new coronavirus outbreak, at the Pudong financial district in Shanghai
REUTERS/Aly Song/File Photo

ท่ามกลางความผันผวนอันเนื่องมาจาก “โควิดเอฟเฟ็กต์” เพิ่มความเสี่ยงในการลงทุนมากขึ้น ขณะที่การอัดฉีดสภาพคล่องมหาศาลของธนาคารกลางชั้นนำหลายแห่ง ส่งผลให้มีเม็ดเงินเข้าสู่ระบบจำนวนมาก ซึ่งเงินเหล่านี้ต้องแสวงหาผลตอบแทน (search for yield) ไม่เช่นนั้นก็จะด้อยค่าลงไปเรื่อย ๆ แต่การจะลงทุนแค่ในตลาดหุ้นไทย ปัจจุบันราคาหุ้นก็ดูแพง และให้ผลตอบแทนต่ำ ทำให้นักลงทุนต่างมองหาการลงทุนที่ให้ผลตอบแทนได้ดีกว่า โดยเฉพาะช่วงนี้ที่เทรนด์เศรษฐกิจประเทศจีนที่ดูฟื้นตัวดีกว่าประเทศอื่น ๆ ทำให้ “แดนมังกร” เป็นเป้าหมายต้น ๆ ที่คนสนใจเข้าไปลงทุนกันมากขึ้น

แห่ออกกองทุนหุ้นจีน-ยีลด์สูง

นางสาวชญานี จึงมานนท์ นักวิเคราะห์อาวุโส บริษัท มอร์นิ่งสตาร์ รีเสิร์ช (ประเทศไทย) จำกัด เปิดเผยว่า ช่วงครึ่งปีแรกที่ผ่านมา พบว่ามีกองทุนหุ้นจีน (China equity) เปิดใหม่ รวมทั้งสิ้น 7 กองทุน รวมมูลค่าทรัพย์สินสุทธิ (ณ 30 ก.ค. 2563) อยู่ที่ 1.49 หมื่นล้านบาท และมีผลตอบแทนสะสมตั้งแต่เปิดกองทุนราว 9-17% (ดูตาราง) โดยมีเงินไหลเข้าสุทธิรวมแล้วราว 8,400 ล้านบาท

“ความน่าสนใจของประเทศจีน คือ การเป็นประเทศแรกที่ได้รับผลกระทบจากโควิด-19 แต่มีการควบคุมและฟื้นตัวได้ค่อนข้างเร็ว เห็นได้จากผลตอบแทนสะสมในช่วง 6 เดือนแรกที่เฉลี่ย -0.68% ถือว่าดีกว่าหลายกลุ่มกองทุน นอกจากนี้ ยังพบว่ากองทุนหุ้นจีนยังมีการปรับตัวขึ้นมาตั้งแต่ช่วงเดือน เม.ย. ต่อเนื่องมาจนถึงเดือน ก.ค. และยังมีผลตอบแทนเฉลี่ยเป็นบวกต่อเนื่อง ทำให้ในช่วงครึ่งปีแรก นักลงทุนค่อนข้างให้ความสนใจ”

ทั่วโลกแห่ออกกองทุนหุ้นจีน

นายสาห์รัช ชัฏสุวรรณ ผู้อำนวยการสายการตลาดและที่ปรึกษาการลงทุน บริษัทหลักทรัพย์จัดการกองทุน (บลจ.) ทิสโก้ กล่าวว่า กระแสการออกกองทุนเพื่อเข้าลงทุนในประเทศจีน ไม่ได้เกิดขึ้นเฉพาะในเมืองไทยเท่านั้น แต่พบว่า บลจ.ทั้งในและต่างประเทศต่างสนใจที่จะเสนอขายกองทุนดังกล่าวมากขึ้น เนื่องจากจีนมีจุดแข็งที่เศรษฐกิจสามารถฟื้นตัวได้เร็วกว่าประเทศอื่น ๆ โดยภาครัฐสามารถรับมือกับโรคระบาดได้ดี รวมถึงเม็ดเงินกระตุ้นเศรษฐกิจของจีนเมื่อเทียบกับประเทศอื่น ๆ ยังอยู่ในระดับที่ค่อนข้างสูง อีกทั้งรัฐบาลยังมีกระสุนพอที่จะกระตุ้นเศรษฐกิจต่อเนื่องแม้เกิดการระบาดระลอก 2

ทั้งนี้ บลจ.ทิสโก้มีกองทุนที่ลงทุนในตลาดหุ้นจีนรวม 4 กองทุน ได้แก่ กองทุนเปิด ทิสโก้ ไชน่า A-Shares อิควิตี้ (TISCOCHA) กองทุนเปิด ทิสโก้ ไชน่าH-Shares อิควิตี้ (TISCOCH) กองทุนเปิด ทิสโก้ ไชน่า สตาร์ พลัส (TCHSTARP)และกองทุนเปิด ทิสโก้ ไชน่า เทคโนโลยี อิควิตี้ (TCHTECH)

“แม้ระยะสั้นยังมีความเสี่ยง อาทิ ตัวเลขผู้ติดเชื้อ ตัวเลขเศรษฐกิจ รวมถึงคุณภาพสินทรัพย์ ฯลฯ แต่ระยะยาวเรามองว่าสำหรับผู้ที่รับความเสี่ยงได้ และลงทุนระยะเวลายาวนานพอ ตลาดหุ้นจีนถือเป็นตัวเลือกที่น่าสนใจ เพราะเป็นประเทศที่ได้รับผลกระทบจากเชื้อไวรัสเป็นประเทศแรก ๆ ทำให้เป็นประเทศแรก ๆ เช่นกันที่ฟื้นกลับขึ้นมาได้”

เทรนด์เศรษฐกิจจีนโตต่อเนื่อง

นายนาวิน อินทรสมบัติ รองกรรมการผู้จัดการ สายงานจัดการลงทุนต่างประเทศ บลจ.กสิกรไทย กล่าวว่า ตลาดหุ้นจีนน่าสนใจในแง่ที่ผลประกอบการของบริษัทจดทะเบียน (บจ.) ปี 2563 จะยังออกมาทรงตัว หรือสูงสุดเมื่อเทียบกับตลาดหุ้นพัฒนาแล้วอื่น ๆ เช่น ตลาดหุ้นสหรัฐ และตลาดหุ้นยุโรปที่ผลประกอบการปีนี้มีความเสี่ยงจะติดลบประมาณ -25%

เนื่องจากเศรษฐกิจจีนสามารถฟื้นตัวจากโควิด-19 ได้เร็วกว่าประเทศอื่น ๆ สะท้อนจากดัชนีผู้จัดการฝ่ายจัดซื้อ (PMI) ทั้งในภาคการผลิตและภาคการบริการที่ปรับตัวดีขึ้นต่อเนื่อง โดยเฉพาะดัชนีภาคบริการที่ปรับขึ้นเหนือระดับ50 จุด ต่อเนื่องกัน 2 เดือน

นอกจากจุดแข็งในแง่ของผลประกอบการแล้ว พบว่า มูลค่าพื้นฐาน (valuation) ของหุ้นในตลาดหุ้นจีนยังอยู่ในระดับที่สมเหตุสมผล อีกทั้งมองข้ามชอตไปยังปี 2564 เศรษฐกิจจีนยังมีโอกาสเติบโตต่อเนื่อง

“เนื่องจากทางการจีนทยอยใช้มาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจทีละไม่มาก ไม่เหมือนกับสหรัฐและยุโรปที่ทุ่มหนักในครั้งเดียว ดังนั้นจึงมีโอกาสที่จีนจะเพิ่มเม็ดเงินอัดกระตุ้นเศรษฐกิจในระยะถัดไป เช่น หากมีความเสี่ยงเกิดการระบาดในปี 2564 เป็นต้น”

เลือกตั้งสหรัฐพลิกเกมการค้า

ส่วนความเสี่ยงจากข้อพิพาททางการค้าระหว่างสหรัฐกับจีน นายนาวินมองว่า เนื่องจากคะแนนนิยมของนายโดนัลด์ ทรัมป์ ประธานาธิบดีสหรัฐ ตกลงต่อเนื่อง หากเป็นเช่นนี้ พรรคฝั่งตรงข้ามมีโอกาสพลิกขึ้นมาชนะในการเลือกตั้งครั้งต่อไป ซึ่งจะยิ่งเป็นผลบวกต่อตลาดหุ้นจีน เนื่องจากจะไม่มีการปะทะกันระหว่างสหรัฐกับจีนเช่น การลงทุนทางการค้า เป็นต้น

ทั้งนี้ บลจ.กสิกรไทยได้ออกกองทุนหุ้นจีน 3 กองทุน ได้แก่ กองทุนเปิดเค ดัชนีหุ้นจีน (CHX) มีจุดเด่นในการลงทุนหุ้นขนาดใหญ่ 50 ตัวแรกในตลาดหุ้นจีน (A-Share) ถัดมา กองทุนเปิดเคไชน่า คอนโทรล โวลาติลิตี้ (K-CCTV) เป็นการลงทุนในตลาดหุ้นจีน ผ่านกองทุนรวมต่างประเทศ (feeder fund) และกองทุนเปิดเค ไชน่า หุ้นทุน (K-CHINA) ที่มีการลงทุนในตลาดหุ้นฮ่องกง(Hang Seng) มีจุดเด่นที่การลงทุนในหุ้นเทคโนโลยี ซึ่งได้รับอานิสงส์จากกระแสการใช้ชีวิตในโลกหลังโควิด-19