“อนุสรณ์” วิจารณ์รัฐบาลกู้เงิน ADB กระทบฐานะคลัง-ดันเงินบาทแข็ง​

นายอนุสรณ์ ธรรมใจ อดีตกรรมการนโยบายและกำกับการบริหารหนี้สาธารณะ กระทรวงการคลัง และ อดีตคณบดีคณะเศรษฐศาสตร์ ม.รังสิต เปิดเผยว่า การก่อหนี้สาธารณะด้วยการกู้ยืมเงินจากต่างประเทศจะส่งผลกระทบทางลบต่ออัตราการเติบโตทางเศรษฐกิจในระยะปานกลางและระยะยาว รวมทั้งขีดความสามารถในการแข่งขันทางเศรษฐกิจในระยะสั้น เพราะอาจส่งผลให้ค่าเงินบาทแข็งค่าขึ้นเมื่อมีไหลเข้าจากการกู้เงิน

ความจำเป็นในการกู้ยืมเงินจากต่างประเทศอาจมีขึ้นในอนาคต แต่ไม่ใช่ในระยะนี้ เนื่องจากสภาพคล่องในระบบยังสูง และเรามีความเสี่ยงปัญหาเรื่องกับดักสภาพคล่องมากกว่า สภาพคล่องในระบบมีเพียงพอ ความจำเป็นเฉพาะหน้าระยะสั้นในการกู้เงินจากต่างประเทศจึงยังไม่มี ขณะนี้ แม้นรัฐบาลเร่งรัดการลงทุนก็ยังไม่พบปัญหา Crowding Out Effect หรือ ทำให้สภาพคล่องลดลงและไปแย่งเม็ดเงินเอกชน ดันอัตราดอกเบี้ยสูงขึ้นแต่ประการใด เพราะการลงทุนภาคเอกชนยังคงติดลบหรือหดตัวไปอีกอย่างน้อย 2-3 ไตรมาสเป็นอย่างน้อย

การใช้นโยบายการเงินเชิงรุกควบคู่การเร่งรัดการใช้จ่ายภาครัฐก็เพียงพอแล้ว เพิ่มปริมาณเงินให้เพียงพอ กดอัตราดอกเบี้ยให้ต่ำ ยังไม่จำเป็นต้องกู้เงินต่างประเทศตอนนี้ การกู้เงินต่างประเทศจะทำให้เป็นภาระทางการคลังแม้นดอกเบี้ยธนาคารเพื่อการพัฒนาเอเชียจะไม่สูงก็ตาม หนี้รัฐบาล

ในส่วนของสกุลเงินต่างประเทศของประเทศแม้นยังอยู่ในระดับต่ำ แต่การกู้เงินต่างประเทศจะมีความเสี่ยงจากความผันผวนของอัตราแลกเปลี่ยนเพิ่มเข้ามาและสถานการณ์ในอนาคตค่าเงินดอลลาร์จะมีความผันผวนสูงมาก และมีแนวโน้มอ่อนค่าลง หนี้ต่างประเทศเทียบหนี้สาธารณะทั้งหมดไม่ถึง 3% จึงไม่ใช่ประเด็น ประชาชนผู้เสียภาษีและรัฐบาลไทยไม่จำเป็นต้องไปเสียดอกเบี้ยให้สถาบันการเงินต่างชาติ ธนาคารแห่งประเทศไทยสามารถเพิ่มสภาพคล่องในระบบ เพราะเรามีทุนสำรองระหว่างประเทศมากเพียงพอต่อการหนุนหลังค่าเงินสำหรับปริมาณเงินที่เพิ่มขึ้น

นายอนุสรณ์ ธรรมใจ
นายอนุสรณ์ ธรรมใจ

นายอนุสรณ์กล่าวอีกว่า หากการที่คณะรัฐมนตรีเห็นชอบร่างสัญญาเงินกู้ในนามของรัฐบาลไทยจากธนาคารเพื่อการพัฒนาเอเชีย (ADB) วงเงิน 1,500 ล้านดอลลาร์สหรัฐ หรือคิดเป็น 48,000 ล้านบาท เพื่อนำไปใช้ในโครงการแผนงานตาม พ.ร.ก.เงินกู้ ควรเป็นเพียงการเตรียมการเอาไว้ใช้ในคราวจำเป็นหากไม่สามารถกู้ในประเทศได้เพียงพอ หากจะเดินหน้ากู้เงินจากต่างประเทศ ขอให้ต่อรองอัตราดอกเบี้ยเงินกู้และเงื่อนไขการชำระเงินกู้ใหม่ ดอกเบี้ยควรต่ำกว่านี้ ต้องยืดระยะเวลาการชำระคืนเงินต้นออกไปเพื่อไม่เป็นขีดจำกัดในการใช้จ่ายภาครัฐและงบประมาณในช่วง 3-5 ปีข้างหน้า งบประมาณของประเทศควรกำหนดสัดส่วนการชำระหนี้คืนเงินต้นไว้ต่ำจนกว่าเศรษฐกิจเริ่มฟื้นสู่ภาวะปรกติจึงค่อยผ่อนชำระในสัดส่วนที่สูงขึ้นในอนาคต

นายอนุสรณ์กล่าว​อีกว่า จากงานวิจัย “การวิเคราะห์ผลกระทบหนี้สาธารณะต่ออัตราการเจริญเติบโตทางเศรษฐกิจด้วยวิธีการถดถอยแบบควอนไทล์” (ผลงาน กัญญ์สุดา นิ่มอนุสรรณ์กุลและทีมงาน ลงในวารสารวิชาการ CMU Journal of Economcis) พบว่า “กลุ่มประเทศกำลังพัฒนาเอเชีย (Developing Asia) พบว่า อัตราการเจริญเติบโตของ อัตราส่วนระหว่างหนี้สาธารณะต่อผลิตภัณฑ์มวลรวมภายในประเทศ (DEBTG) มีผลต่ออัตราการเจริญเติบโตของผลิตภัณฑ์มวลรวมภายในประเทศต่อหัว (GDPG) ในทิศทางตรงกันข้าม เฉพาะที่ระดับควอนไทล์ 0.25 และจากวิธี conditional mean เท่านั้น

นอกจากนี้ยังพบว่า ปัจจัยที่มีผลต่ออัตราการเจริญเติบโตของผลิตภัณฑ์มวลรวมภายในประเทศต่อหัว (GDPG) ได้แก่ อัตราการเจริญเติบโตของอัตราส่วนระหว่างการลงทุนต่อผลิตภัณฑ์มวลรวมภายในประเทศ (INVG) เฉพาะที่ระดับควอนไทล์ 0.5 และ 0.75 โดยมีผลกระทบทางบวก และผลกระทบเพิ่มขึ้นเมื่อระดับควอนไทล์เพิ่มขึ้นด้วย และพบว่า อัตราการเจริญเติบโตของอัตราการเปิดประเทศ (OPENG) มีผลกระทบทางบวกต่ออัตราการเจริญเติบโตของผลิตภัณฑ์มวลรวมภายในประเทศต่อหัว (GDPG) จากวิธี conditional mean และมีผลกระทบทุกระดับควอนไทล์ โดยผลกระทบจะมีเพิ่มขึ้นมากขึ้นจากระดับ ควอนไทล์ 0.25 จนถึงระดับ ควอนไทล์ 0.5 แล้วผลกระทบลดลงจนถึงระดับควอนไทล์ 0.75

หากทำ การเปรียบเทียบ ความแตกต่างของผลกระทบของหนี้สาธารณะต่ออัตราการเจริญเติบโตทางเศรษฐกิจของกลุ่มประเทศต่างๆ ซึ่งมีระดับหนี้สาธารณะที่แตกต่างกัน พบว่า ทุกกลุ่มประเทศ อัตราการเจริญเติบโตของอัตราส่วนระหว่างหนี้สาธารณะต่อผลิตภัณฑ์ มวลรวมภายในประเทศ (DEBTG) มีผลกระทบทางลบต่อ อัตราการเจริญเติบโตของผลิตภัณฑ์มวลรวมภายในประเทศต่อหัว (GDPG)”

นายอนุสรณ์กล่าวทิ้งท้ายว่า หากต้องการกู้ต่างประเทศจริงๆ โปรดระมัดระวังการบริหารอัตราแลกเปลี่ยนให้ดี และอย่าให้หนี้สาธารณะต่อจีดีพีเกิน 60-65% รวมทั้งต้องใช้เงินกู้อย่างโปร่งใส มีประสิทธิภาพ ประสิทธิผล เป็นไปตามเป้าหมายและยุทธศาสตร์งบประมาณที่กำหนดเอาไว้อย่างแท้จริง