หุ้น 3 กลุ่มเด่นฝ่า ‘โควิด’ สวนกระแสกำไร บจ. ต่ำสุดรอบ 10 ปี

การแพร่ระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโควิด-19 ส่งผลกระทบต่อเศรษฐกิจ รวมถึงผลประกอบการของบริษัทต่าง ๆ ทั่วโลก ขณะที่บริษัทจดทะเบียน (บจ.) ในตลาดหุ้นไทยหลายคนคาดการณ์ว่าผลประกอบการงวดไตรมาส 2/2563 จะเป็น “จุดต่ำสุด” ของปีจากการที่การแพร่ระบาดของไวรัสตัวร้ายส่งผลกระทบหนักในช่วงปลายไตรมาสแรก ต่อเนื่องมาถึงไตรมาส 2 แบบเต็มไตรมาส

“โควิด” ทุบกำไร Q2 ฮวบ 36%

โดย “กิจพณ ไพรไพศาลกิจ”ผู้อำนวยการฝ่ายวิเคราะห์และนักกลยุทธ์ บริษัทหลักทรัพย์ (บล.) ยูโอบี เคย์เฮียน (ประเทศไทย) เปิดเผยว่า ข้อมูลล่าสุด (ณ 5 ส.ค.) บจ.จำนวน 137 บริษัท หรือ 80% ของมูลค่าตลาด (market cap) มีกำไรสุทธิงวดไตรมาส 2 อยู่ที่ 120,808 ล้านบาท ลดลง 36% เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อน (YOY) แต่เพิ่มขึ้น 37% เมื่อเทียบกับไตรมาสแรก (QOQ)

สาเหตุที่กำไรปรับขึ้นเมื่อเทียบกับไตรมาสแรก ทั้ง ๆ ที่ไตรมาส 2 เป็นไตรมาสที่ได้รับผลกระทบจากโควิดเต็มไตรมาสนั้น เนื่องจากหุ้นกลุ่มพลังงานได้รับผลขาดทุนจากสต๊อกน้ำมัน (stock loss) ค่อนข้างรุนแรงในไตรมาสแรกจากที่ราคาน้ำมันดิบโลกปรับลดลง ส่งผลให้ในเชิงตัวเลขกำไรสุทธิงวดไตรมาสแรกจึงกลายเป็นไตรมาสที่แย่ที่สุด

“หากรวมกลุ่มพลังงาน จะพบว่าบริษัทส่วนใหญ่กำไรสุทธิออกมาแย่ที่สุดในงวดไตรมาส 2 แต่ก็ยังมีบางบริษัทที่กำไรยังเติบโตขึ้นทั้งจากไตรมาสก่อน และช่วงเดียวกันปีก่อน ซึ่งเรามองว่ากลุ่มหุ้นที่กำไรยังฟื้นตัวเมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันปีก่อนได้นั้น ถือว่ามีความแข็งแกร่งมาก เช่น กลุ่มอาหาร เป็นต้น”

3 เซ็กเตอร์โตเด่นสวนตลาด

เมื่อพิจารณารายกลุ่มพบว่ามี 3 กลุ่มอุตสาหกรรมที่กำไรสุทธิงวดไตรมาส 2 มีแนวโน้มเติบโตโดดเด่นสวนกระแส ได้แก่ 1.กลุ่มอาหาร คาดการณ์กำไรสุทธิ 7,675 ล้านบาท แม้ว่าจะลดลง 17% QOQ เนื่องจากไตรมาส 2 เป็นโลว์ซีซั่น แต่เมื่อเทียบ YOY ยังเติบโตได้ประมาณ 31% โดยหุ้นเด่นแนะนำในกลุ่มนี้ คือ บมจ.เจริญโภคภัณฑ์อาหาร (CPF) ที่คาดว่ากำไรสุทธิไตรมาส 2 จะทำจุดสูงสุดใหม่ ที่ 5,291 ล้านบาท

2.กลุ่มปิโตรเคมี คาดการณ์กำไรสุทธิที่ 11,376 ล้านบาท เติบโต 2,561% QOQ แต่ลดลงเล็กน้อย 7% YOY แนะนำ “ซื้อเก็งกำไร” บมจ.พีทีทีโกลบอล เคมิคอล (PTTGC) และ บมจ.วีนิไทย (VNT) อานิสงส์ต้นทุนปรับลดลง อีกทั้งกำไรในช่วงที่เหลือมีแนวโน้มฟื้นตัวดีขึ้นหลังจากที่ไตรมาสแรกกำไรออกมาไม่สดใสนัก

และ 3.กลุ่มประกันภัย แม้ว่าทาง บล.ยูโอบีฯจะไม่ได้วิเคราะห์ครอบคลุม แต่เชื่อว่ากลุ่มนี้จะเป็นม้ามืดที่กำไรสุทธิออกมาเติบโตโดดเด่น เนื่องจากได้อานิสงส์จากการขายประกันภัยโควิด-19 รวมกว่า 7 ล้านกรมธรรม์ อีกทั้งมูลค่าหุ้น (valuation) อยู่ในระดับที่ไม่แพงมากนัก จึง “แนะนำซื้อ” บมจ.ทิพยประกันภัย (TIP) และ บมจ.ไทยรับประกันภัยต่อ (THRE) เป็นหุ้นในกลุ่มประกันภัย 2 ตัวที่มีสภาพคล่องน่าลงทุน

ผลประกอบการบริษัทจดทะเบียน ไตรมาส 2/2563 YoY

หุ้นไทยเสี่ยงถูกปรับลดน้ำหนัก

เมื่อเทียบหุ้นไทยกับหุ้นต่างประเทศ “กิจพณ” กล่าวว่า ตลาดหุ้นสหรัฐที่มีสัดส่วน บจ.ในกลุ่มเทคโนโลยีค่อนข้างสูง จะเห็นว่าผลประกอบการยังเติบโตต่อเนื่อง จากรายได้ที่ไม่ได้รับผลกระทบจากโควิด-19 ซึ่งกลุ่มเทคโนโลยีมีจุดแข็งตรงที่มีรายได้เข้ามาจากการให้บริการในหลายประเทศทั่วโลก

ขณะที่ตลาดหุ้นไทยและตลาดหุ้นในภูมิภาคเอเชียพบว่า ผลประกอบการของ บจ.ได้รับผลกระทบจากโควิด-19ทั้งสิ้น โดยเฉพาะประเทศไทยที่มีน้ำหนักหุ้นกลุ่มพลังงานและกลุ่มธนาคารมากที่สุด ซึ่งกลุ่มพลังงานกำไรสุทธิลดลงพอสมควรประมาณ 40% YOY เช่นเดียวกับกลุ่มธนาคารที่กำไรสุทธิลดลง 40% YOY จากคุณภาพสินทรัพย์ที่แย่ลงส่งผลให้ภาระการตั้งสำรองเพิ่มขึ้น

“ดังนั้น ไม่แปลกที่การเคลื่อนไหวของตลาดหุ้นไทยจะไปไหนได้ไม่ไกลนัก แต่เรายังเชื่อว่าระยะข้างหน้า SET index (ดัชนีตลาดหลักทรัพย์) จะไม่ปรับลดลงรุนแรงเหมือนช่วงเดือน มี.ค.ที่ระดับ 900-1,000 จุด เพราะสภาพคล่องที่ล้นอยู่ในระบบโดยเราประเมินกรอบการเคลื่อนไหวในช่วงที่เหลือของปีนี้ที่ 1,260-1,430 จุด”

“กิจพณ” เสริมอีกว่า โลกหลังโควิด-19 ต่อจากนี้จะเป็นยุคของเทคโนโลยี ซึ่งประเทศไทยและประเทศในแถบเดียวกันยังไม่มี มีเพียงประเทศจีนและประเทศไต้หวันเท่านั้นที่มีหุ้นเทคโนโลยีจดทะเบียนในตลาดหุ้น ทำให้ในระยะถัดไปมีความเสี่ยงที่น้ำหนักลงทุนของกลุ่มประเทศเอเชียในประเทศอื่น ๆ รวมถึงไทยจะถูกปรับน้ำหนักลง

กำไรต่อหุ้นต่ำสุดในรอบ 10 ปี

ขณะที่ “ณัฐพล คำถาเครือ” ผู้อำนวยการฝ่ายวิเคราะห์หลักทรัพย์ บล.หยวนต้า(ประเทศไทย) กล่าวว่า ฝ่ายวิจัย คาดการณ์กำไรต่อหุ้น (EPS) ปี 2563 ที่ 66.00 บาท/หุ้น และมีความเสี่ยงที่จะปรับลดคาดการณ์กำไรลงเหลือ 62.00 บาท/หุ้นในช่วงที่เหลือของปีนี้ ซึ่งจะส่งผลให้กำไรตลาดหุ้นปี 2563 ออกมาต่ำสุดในรอบ 10 ปี หรือต่ำสุดตั้งแต่ช่วงวิกฤตซับไพรมเมื่อปี 2552 ที่ EPS ของตลาดหุ้นไทยเฉลี่ยอยู่ที่ 54.00 บาท/หุ้น

ปีนี้กำไรทรุดต่ำกว่า 6.4 แสนล้าน

“ภราดร เตียรณปราโมทย์” ผู้ช่วยผู้อำนวยการสายงานวิจัย บล.เอเซีย พลัส กล่าวว่า ฝ่ายวิจัยคาดการณ์กำไร บจ. ปีนี้อยู่ที่ 6.8 แสนล้านบาท คำนวณจาก EPS 64.00 บาท/หุ้น อย่างไรก็ดี หลังต้นปีที่ผ่านมา บจ.ทำกำไรได้เพียง 1.06 แสนล้านบาทเท่านั้นในไตรมาสแรก อีกทั้งไตรมาส 2 ยังมีความเสี่ยงที่กำไรสุทธิจะปรับลดลงเมื่อเทียบกับไตรมาสแรก จากผลกระทบไวรัสโควิด-19

ดังนั้น ฝ่ายวิจัยจึงปรับลดคาดการณ์ EPS ลดลงเหลือ 62.45 บาท และหลังการประกาศผลประกอบการงวดไตรมาส 2 ไปแล้ว คาดว่าจะปรับลดลงอีกประมาณ 10% หรือมีความเสี่ยงที่ EPS จะลดลงต่ำกว่า 60.00 บาท ซึ่งจะส่งผลให้กำไรสุทธิของ บจ. ในปีนี้ น่าจะออกมาไม่ถึง 6.4 แสนล้านบาท ต่ำสุดตั้งแต่วิกฤตซับไพรมปี 2553 ที่บริษัทในตลาดหุ้นทำกำไรได้เพียง 5.8 แสนล้านบาท หรือเรียกได้ว่ากำไร บจ. ในปี 2563 นี้ มีความเสี่ยงจะออกมาต่ำสุดในรอบ 10 ปีค่อนข้างมาก

คงได้แต่หวังว่าหลังจากนี้ “โควิด-19” จะคลี่คลายไปเรื่อย ๆ ไม่มีการระบาดซ้ำอีก ธุรกิจต่าง ๆ รวมถึงกิจกรรมทางเศรษฐกิจจะได้กลับมาฟื้นตัวได้ และจะได้ไม่ต้องเห็นภาพการปิดตัวของธุรกิจและคนที่จะตกงานเพิ่มขึ้นอีก