ท่ามกลางวิกฤตโรคระบาดที่กระทบชิ่งมาถึงภาคเศรษฐกิจ การจะตัดสินใจลงทุนในสินทรัพย์ประเภทใดในภาวะเช่นนี้ จำเป็นต้องอาศัยข้อมูลรอบด้านที่จะนำมาวิเคราะห์ ซึ่งในงานเสวนา “เจาะกลยุทธ์การลงทุนหุ้น ทองคำ ตราสารหนี้ กองทุน ในช่วงโควิด-19” ที่ทางสมาคมตลาดตราสารหนี้ไทย (ThaiBMA) และสภาธุรกิจตลาดทุนไทย (FETCO) ร่วมกันจัดขึ้น
นับว่าเป็นช่วงชี้ช่องทางให้กับนักลงทุนได้เป็นอย่างดี โดยเฉพาะอย่างยิ่งช่วงโค้งสุดท้ายปีเช่นนี้
- สถิติหวย ตรวจหวย ผลสลากกินแบ่งรัฐบาล งวด 16 เมษายน ย้อนหลัง 10 ปี
- อย.เปิดชื่ออาหารเสริม พบสารอันตราย ร้ายแรงจนถึงแก่ชีวิต เตรียมดำเนินการตามกฎหมาย
- BITE SIZE : ขึ้นค่าแรง 10 จังหวัด-ปรับเงินเดือนข้าราชการ เพิ่มขึ้นเท่าไร
โดย “ไพบูลย์ นลินทรางกูร” ประธานเจ้าหน้าที่บริหารและกรรมการบริษัทหลักทรัพย์ (บล.) ทิสโก้ จำกัด ในฐานะประธานสภาธุรกิจตลาดทุนไทย กล่าวถึงภาวะตลาดหุ้นไทยว่า ปัจจุบันยังไม่เห็นสัญญาณเม็ดเงินกลับเข้ามา โดยเงินลงทุนทั่วโลกส่วนใหญ่ยังกระจุกตัวอยู่ในตลาดเงิน (money market) และแม้ว่าระยะหลังเริ่มไหลออกจากตลาดเงิน แต่ก็พบว่า กระแสเงินกลับไหลเข้าไปลงทุนในตลาดตราสารหนี้ (บอนด์) มากกว่าจะเป็นหุ้น
“หากพิจารณาผลตอบแทนจากการลงทุนในตลาดหุ้นของกลุ่มประเทศเกิดใหม่ (emerging market) จะเห็นว่าผลตอบแทนลดลงมาต่อเนื่อง และเม็ดเงินลงทุนต่างชาติ (ฟันด์โฟลว์) ก็ยังไหลออกต่อเนื่องเช่นกัน โดยหุ้นไทยต่างชาติยังคงขายสุทธิอยู่ ตั้งแต่ต้นปีถึงปัจจุบันต่างชาติขายสุทธิแล้วราว 2.7 แสนล้านบาท ซึ่งดัชนีตลาดหุ้นไทย (SET index) ให้ผลตอบแทน -20% ต่ำกว่าค่าเฉลี่ย 55 ตลาดหุ้นทั่วโลกที่ให้ผลตอบแทน -10%” นายไพบูลย์กล่าว
“ไพบูลย์” บอกว่า ปัจจัยสำคัญที่ตลาดหุ้นไทยถูกเทขายต่อเนื่องนั้น เนื่องจากกำไรสุทธิของบริษัทจดทะเบียน (บจ.) ได้รับผลกระทบจากการแพร่ระบาดของไวรัสโควิด-19 อย่างมาก ซึ่งส่งผลให้นักวิเคราะห์มีการปรับลดคาดการณ์กำไรสุทธิปี 2563 ลงไปแล้วประมาณ 30% เป็นระดับต่ำที่สุดเมื่อเทียบกับช่วง 10 ปีที่ผ่านมา
นอกจากนี้ โครงสร้างตลาดหุ้นไทยยังเต็มไปด้วยหุ้นที่ได้รับผลกระทบจากโควิด-19 เกินกว่าครึ่งหนึ่งของตลาด ทั้งกลุ่มพลังงาน, ค้าปลีก, ขนส่ง และธนาคาร อีกทั้งยังเป็นธุรกิจที่อยู่ในเศรษฐกิจแบบเดิม (old economy) ตรงกันข้ามกับตลาดหุ้นต่างประเทศที่มีหุ้นเทคโนโลยี ซึ่งมีโอกาสเติบโตในอนาคต
“หุ้นไทยมีเพียงหุ้นกลุ่มอิเล็กทรอนิกส์และกลุ่มเกษตรเท่านั้นที่ให้ผลตอบแทนเป็นบวกสวนทางกับกลุ่มอื่น ๆ”
ลงทุนหุ้นยังดีกว่าฝากแบงก์
อย่างไรก็ตาม ในระยะข้างหน้า ประธานสภาธุรกิจตลาดทุนไทย บอกว่า ตลาดหุ้นไทยยังมีความน่าสนใจ โดยเฉพาะในช่วงภาวะดอกเบี้ยต่ำเช่นนี้ โดยปัจจุบันดอกเบี้ยจากการฝากเงินกับธนาคารอยู่ที่ประมาณ 1% ซึ่งหากพิจารณาส่วนต่างผลตอบแทนจากการลงทุนในหุ้นและตราสารหนี้ พบว่า ปัจจุบันอยู่ที่กว่า 3% สูงกว่าค่าเฉลี่ยในอดีตที่มีส่วนต่างประมาณ 2.8-2.9%
“อีกประเด็นหนึ่งที่น่าสนใจก็คือ จากสถิติดัชนีตลาดหุ้น จะเคลื่อนไหวสอดคล้องกับกำไรสุทธิ ซึ่งประเมินว่ากำไรสุทธิของ บจ.จะพลิกกลับเป็นบวกในช่วงต้นปีหน้า ดังนั้น จึงมีโอกาสที่ดัชนีจะกลับมาฟื้นตัวเช่นกัน โดยคาดว่าSET index อาจฟื้นตัวแบบดับเบิลยู (W shape) หรืออาจปรับลงทำจุดต่ำสุดอีกครั้ง แต่เชื่อว่าจะไม่ลงไปลึกแบบช่วงเดือน มี.ค.ที่ลงไปที่ 900 จุด” นายไพบูลย์กล่าว
นอกจากนี้ ประธานสภาธุรกิจตลาดทุนไทย มองปัจจัยการเลือกตั้งประธานาธิบดีสหรัฐว่า อาจจะเป็นปัจจัยกดดันตลาดหุ้นทั่วโลก แต่ขณะเดียวกันก็เป็นโอกาสที่เงินจะไหลเข้ามาในตลาดหุ้นเกิดใหม่ โดยอุตสาหกรรมที่น่าสนใจลงทุนเน้นกลุ่มที่กำไรปีหน้ามีโอกาสฟื้นตัว ได้แก่ กลุ่มหุ้นขนาดกลางเล็ก (sSET) กลุ่มอาหาร, การแพทย์ และค้าปลีก
แนะซื้อบอนด์ออมทรัพย์
ขณะที่ “ธาดา พฤฒิธาดา” กรรมการผู้จัดการสมาคมตลาดตราสารหนี้ไทย กล่าวว่า ช่วงต้นปี 2563 ตลาดตราสารหนี้ไทยเผชิญความผันผวนจากการที่นักลงทุนแห่ขายตราสารหนี้ผ่านกองทุนตราสารหนี้ (fund run) ส่งผลให้ผลตอบแทนจากตราสารหนี้ปรับขึ้นอย่างรวดเร็วในระยะเวลาอันสั้น สวนทางกับราคาตราสารที่ปรับลดลงรุนแรง
“ปัจจุบันตลาดตราสารหนี้เริ่มกลับเข้าสู่ภาวะปกติ แต่ดอกเบี้ยที่ได้จากการลงทุนตราสารหนี้ยังอยู่ในระดับที่ต่ำที่สุดเป็นประวัติการณ์ ล่าสุด ณ 22 ก.ย. 63 อัตราดอกเบี้ยที่ได้จากการลงทุนตราสารหนี้เฉลี่ยอยู่ที่ 0.86%” นายธาดากล่าว
โดยพันธบัตรรัฐบาลถือว่าเป็นตัวเลือกที่น่าสนใจ จากข้อมูลของสํานักงานบริหารหนี้สาธารณะ (สบน.) ชี้ว่างบประมาณฟื้นฟูเศรษฐกิจของรัฐบาลที่ตั้งเอาไว้ประมาณ 1.1-1.2 ล้านล้านบาท ถึงสิ้นปีงบประมาณปี 2564 จะกระจายการระดมทุนผ่านหลายช่องทาง หนึ่งในนั้นคือการออกพันธบัตรรัฐบาล หรือพันธบัตรออมทรัพย์
“ปกติหุ้นกู้หรือตราสารหนี้เอกชน จะต้องบวกผลตอบแทนเข้าไปอีกตามเรตติ้งที่ได้รับ ส่วนดอกเบี้ยพันธบัตรรัฐบาลจะต่ำ แต่หากนักลงทุนไม่ต้องการรับความเสี่ยง เช่น การผิดนัดชำระหนี้ การซื้อพันธบัตรรัฐบาล ก็ถือเป็นตัวเลือกที่น่าสนใจ” นายธาดากล่าว
อย่างไรก็ดี ทั้งการลงทุนในหุ้นกู้และพันธบัตรรัฐบาลสำหรับรายย่อย ยังเข้าถึงได้ค่อนข้างลำบาก จากข้อมูลพบว่าในปี 2562 เป็นปีที่นักลงทุนรายย่อยมีสัดส่วนการถือหุ้นกู้มากที่สุด แต่ก็อยู่ในระดับ 17% จากมูลค่าหุ้นกู้ทั้งตลาดที่ 1.1 ล้านล้านบาท
“ธาดา” บอกอีกว่า การซื้อพันธบัตรออมทรัพย์ ปัจจุบันสามารถซื้อขายผ่านแอปพลิเคชั่นที่รัฐบาลพัฒนาได้แล้ว แต่ก็ยังไม่เพียงพอกับความต้องการของประชาชน ดังนั้น อีกหนึ่งตัวเลือกที่น่าสนใจก็คือ การลงทุนผ่านกองทุนรวมตราสารหนี้ที่มีผู้เชี่ยวชาญช่วยบริหาร
กองรีทแจ่ม-ทยอยเก็บหุ้นนอก
ด้าน “วิน พรหมแพทย์” ประธานเจ้าหน้าที่การลงทุน บริษัทหลักทรัพย์จัดการกองทุน (บลจ.) พรินซิเพิล กล่าวถึงการจัดพอร์ตการลงทุนช่วงนี้ว่า การกระจายการลงทุนไปยังสินทรัพย์ที่หลากหลาย เป็นการกระจายความเสี่ยงได้ดีที่สุด ทั้งการลงทุนในตราสารหนี้ หุ้นไทย หุ้นต่างประเทศ และสินทรัพย์ทางเลือก
โดยแนะนำให้ “คงน้ำหนัก” (neutral) ในตลาดตราสารหนี้ เนื่องจากให้ผลตอบแทนค่อนข้างต่ำ เช่นเดียวกับหุ้นไทยที่ยังมีความเสี่ยงขาลง ขณะที่หุ้นต่างประเทศ แนะนำ “ทยอยสะสม” เมื่อราคาปรับลดลงมา
ทั้งนี้ “วิน” บอกอีกว่า ให้น้ำหนักการลงทุนทรัสต์เพื่อการลงทุนในอสังหาริมทรัพย์ (REITs) มากที่สุด แต่ต้องเน้นลงทุนในอสังหาริมทรัพย์ที่มีอนาคต ได้แก่ คลังสินค้า โลจิสติกส์ และศูนย์ข้อมูล (data center) ซึ่งที่ผ่านมาการลงทุนในรีทกลุ่มที่ยังมีโอกาสเติบโตให้ผลตอบแทนประมาณ 4-6%
ทองคำปรับฐาน-ลุ้นปลายปีพุ่งต่อ
นอกจากนี้ “วิน” ยังกล่าวถึงการลงทุนทองคำ โดยแนะนำ “ลดน้ำหนัก” (underweight) และรอเข้าซื้อเมื่อราคาปรับฐานทดสอบ 1,750 ดอลลาร์/ออนซ์
ขณะที่ “พวรรณ์ นววัฒนทรัพย์” ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท วายแอลจี บูลเลี่ยน จำกัด ชี้ว่า แม้ภาพใหญ่ของราคาทองคำจะยังเป็นขาขึ้น แต่ล่าสุดราคาทองเริ่มปรับฐาน โดยปรับลงต่ำกว่า 1,900 ดอลลาร์/ออนซ์ และมีแนวโน้มปรับลดลงต่อเนื่องในระยะสั้น
“เรายังให้แนวรับสำคัญของราคาทองคำที่ 1,850 ดอลลาร์/ออนซ์ นักลงทุนสามารถทยอยซื้อครั้งหนึ่ง และแนวรับถัดไปที่ 1,800 ดอลลาร์/ออนซ์ สามารถเข้าซื้อได้อีกครั้งหนึ่ง และอีกครั้งที่ 1,750 ดอลลาร์/ออนซ์ แล้วจึงค่อยขายทำกำไรช่วงที่ราคาทองคำปรับขึ้นอีกครั้งใกล้ ๆ 1,900 ดอลลาร์/ออนซ์” นางพวรรณ์กล่าว
ทั้งนี้ “พวรรณ์” บอกว่า นักวิเคราะห์ทั่วโลกยังเชื่อว่าในช่วงปลายปีราคาทองคำมีโอกาสปรับขึ้นไปทดสอบบริเวณ 2,000 ดอลลาร์/ออนซ์ จากปัจจัยเชิงลบเรื่องของการเลือกตั้งสหรัฐที่รออยู่ แต่ความเสี่ยงในระยะสั้น หากราคาทองคำปรับลดลงหลุด 1,750 ดอลลาร์/ออนซ์ จะไม่สามารถประเมินแนวรับถัดไปได้
ทั้งหมดนี้เป็นข้อมูลที่น่าสนใจจากกูรูผู้ที่เกี่ยวข้องคร่ำหวอดอยู่กับสินทรัพย์แต่ละประเภทเป็นอย่างดี อย่างไรก็ดี การลงทุนทุกประเภทย่อมมีความเสี่ยง ซึ่งนักลงทุนต้องคำนึงถึงระดับความเสี่ยงที่ตัวเองรับได้ ก่อนตัดสินใจลงทุน