เทรนด์หุ้นไทย “ขาลง” โบรกฯ “บล.ทิสโก้” แนะทยอยสะสม ไม่ต้องรีบร้อน

ทิสโก้-หุ้น.

บล.ทิสโก้ ชี้หากดัชนียังยืนเหนือ 1,300 จุดไม่ได้ ในทางเทคนิคหุ้นไทยยังเป็นแนวโน้มขาลง แนะทยอยสะสมเพื่อการลงทุนแบบไม่ต้องรีบร้อน พร้อมเปิดสถิติหลังรัฐบาลประกาศสถานการณ์ฉุกเฉินต่างชาติมักขายสุทธิเฉลี่ย 4,000 ล้านบาท ดัชนีปรับลดเฉลี่ย 2% ในช่วง 3 วันทำการ

วันที่ 16 ตุลาคม 2563 ผู้สื่อข่าวรายงานว่า นายอภิชาติ ผู้บรรเจิดกุล ผู้อำนวยการอาวุโส สายงานวิเคราะห์เชิงกลยุทธ์ บริษัทหลักทรัพย์ ทิสโก้ จำกัด (Mr. Apichat Poobunjirdkul, Senior Strategist, TISCO Securities Co., Ltd) เปิดเผยว่า จากการรวบรวมประมาณการผลประกอบการของตลาดโดยรวมจาก Bloomberg Consensus ของหุ้นจำนวน 111 บริษัท คิดเป็น 71% ของมูลค่าตลาดรวมทั้งหมด (ข้อมูล ณ วันที่ 15 ต.ค.)

นักวิเคราะห์คาดว่า ไตรมาส 3/2563 บริษัทจดทะเบียนไทยจะมีกำไรสุทธิรวม 9.56 หมื่นล้านบาท ฟื้นตัวแค่ 5% เมื่อเทียบกับไตรมาสก่อน แต่ยังหดตัวแรง 45% เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อน เพราะถูกถ่วงด้วยหุ้นที่เกี่ยวข้องกับธุรกิจท่องเที่ยว ทั้งโรงแรม สายการบิน และสนามบิน ที่ยังมีผลขาดทุนอยู่

ขณะที่หุ้นธุรกิจโรงกลั่นคาดจะมีผลขาดทุนเช่นกัน จากอัตราค่าการกลั่นที่ต่ำมาก ดังนั้น การประกาศผลประกอบการไตรมาสนี้จึงไม่คาดว่าจะช่วยกระตุ้นตลาดได้มากนัก

สำหรับการเริ่มเปิดรับนักท่องเที่ยวแบบพิเศษ (Special Tourist VISA : STV) กลุ่มแรกจากจีนประมาณ 120 คนในช่วงปลายเดือน ต.ค. นี้ แม้เป็นสิ่งจำเป็นเพื่อส่งเสริมบรรยากาศการท่องเที่ยวไทย แต่คงไม่สามารถคาดหวังผลเชิงบวกต่อมูลค่าทางเศรษฐกิจได้มากนัก เนื่องจากจำนวนนักท่องเที่ยวในกลุ่มดังกล่าวประเมินว่าจะอยู่ที่ประมาณ 1,200 คนต่อเดือน และจะสร้างรายได้ให้ประเทศราว 1,200 ล้านบาทต่อเดือน เทียบกับจำนวนนักท่องเที่ยวต่างชาติในช่วงก่อน COVID-19 อยู่ที่ประมาณ 3 ล้านคนต่อเดือน

และสร้างรายได้ประมาณ 160,000 ล้านบาทต่อเดือน หรือยังไม่ถึง 1% ทั้งในแง่ของจำนวนนักท่องเที่ยว และจำนวนรายได้ นอกจากนี้ ยังมีความเสี่ยงที่อาจจะเกิดการแพร่ระบาดฯ ตามมาด้วย โดยเฉพาะหากเริ่มต้นเปิดรับนักท่องเที่ยว STV กลุ่ม 2 และกลุ่ม 3 ที่รัฐบาลมีแนวทางจะลดการกักตัวลงเหลือ 7 วัน จนถึงไม่ต้องมีการกักตัวเลยตามลำดับ

ในช่วงแรกๆ หากมีข่าวการติดเชื้อฯ เกิดขึ้น จะทำให้ราคาหุ้นในตลาดผันผวนได้ง่าย และน่าจะใช้เวลาอีกเป็นเดือนกว่านักลงทุนจะเริ่มคุ้นชินกับข่าวดังกล่าว ดังนั้น จึงอยากให้นักลงทุนเตรียมใจเผื่อไว้สำหรับความผันผวนในอนาคตด้วย

สำหรับสถานการณ์การเมืองในประเทศนั้น ล่าสุดนายกรัฐมนตรีประกาศสถานการณ์ฉุกเฉินฯ ในพื้นที่กรุงเทพฯ เพื่อคุมม็อบ ตั้งแต่เวลา 4.00 น. ของวันที่ 15 ต.ค. เป็นต้นไป คาดว่าจะกดดันกระแสเงินทุนต่างประเทศไหลออกต่อเนื่อง อิงจากการประกาศใช้สถานการณ์ฉุกเฉินจากเหตุความวุ่นวายทางการเมืองหลายครั้งในอดีตดัชนีหุ้นไทย จะปรับตัวลงเฉลี่ย 2% ในช่วง 3 วันทำการ

และต่างชาติมักเป็นผู้ขายสุทธิเฉลี่ยประมาณ 4,000 ล้านบาทในช่วงเวลาดังกล่าว แต่หลังจากนั้นดัชนีหุ้นไทยจะเริ่มจะฟื้นตัวดีขึ้นภายใน 1 สัปดาห์ต่อมา โดยจะเคลื่อนไหวตามสถานการณ์การเมืองภายในประเทศและปัจจัยอื่นที่เข้ามามีผลกระทบ

นายอภิชาติกล่าวอีกว่า ในทางเทคนิค ดัชนีหุ้นไทยยังอยู่ในแนวโน้มแกว่งไซด์เวย์ดาวน์ จนกว่าจะสามารถขึ้นมายืนเหนือระดับ 1,300 จุดเท่านั้นตลาดหุ้นไทยจึงจะเปลี่ยนแนวโน้มเป็นแนวทางอื่น ดังนั้น บล.ทิสโก้ยังคงกลยุทธ์หลัก คือ แนะนำหาจังหวะทยอยสะสมช่วงตลาดอ่อนตัว แต่ไม่ต้องรีบร้อน

3 ปัจจัยเสี่ยงกดดันตลาด

เนื่องจาก 3 ปัจจัยเสี่ยงหลักยังคงกดดันตลาดอยู่ เช่น สถานการณ์แพร่ระบาด COVID-19 ในต่างประเทศ ทั้งสหรัฐฯ และสหภาพยุโรป, ความไม่แน่นอนของผลการเลือกตั้งประธานาธิบดีสหรัฐฯ และปัญหาการเมืองในประเทศที่ยังคาราคาซังอยู่ ทั้งการชุมนุมทางการเมือง และการแก้ไขรัฐธรรมนูญ หุ้นที่แนะนำสะสม “เพื่อการลงทุน” หวังผลในช่วง 3-6 เดือนข้างหน้า คือ

1. หุ้นที่แนวโน้มกำไรปีหน้าฟื้นตัวโดดเด่น ราคาหุ้นมีโอกาสปรับขึ้นมากกว่า 20% จากมูลค่าเหมาะสมทางปัจจัยพื้นฐาน แนะนำ AEONTS, BAM, BDMS, BEM, CPALL, MTC, PTTGC, TWPC และ WHA และ

2. แนะทยอยเก็บหุ้นปันผลที่คาดมีอัตราเงินปันผลมากกว่า 4% ต่อปี แนะนำ DCC, EASTW, INTUCH, LH, QH, NYT, PROSPECT, RATCH และ TVO


สำหรับประเด็นหุ้น “เทรดดิ้ง-เก็งกำไรระยะสั้น” แนะนำ 1. หุ้นที่คาดว่างบจะออกมาดีทั้ง YoY, QoQ คือ AP, MTC, RBF, SAPPE, SYNEX และ TU 2. หุ้นที่มีปัจจัยบวกเฉพาะตัวในระยะสั้น จาก “ช้อปดีมีคืน” คือ COM7, CRC และ HMPRO และหุ้นที่ได้รับประโยชน์จากแนวโน้มราคาสินค้าโภคภัณฑ์ปรับตัวขึ้น คือ KSL และTVO