CIMBT แนะไทยยึดยุทธศาสตร์ “เอียงจีน อ่อนตามสหรัฐฯ” รับมือผลเลือกตั้งมะกัน

ดร.อมรเทพ จาวะลา CIMBT
ดร.อมรเทพ จาวะลา

สำนักวิจัย ธนาคาร ซีไอเอ็มบี ไทย วิเคราะห์เลือกตั้งสหรัฐฯ แนะไทยยึดยุทธศาสตร์ ‘เอียงจีน อ่อนตามสหรัฐฯ’ เปิดรับทั้งคู่ ไม่เลือกข้าง ชี้ ทรัมป์เป็นต่ออีกสมัย ไทยได้ประโยชน์กว่า แต่ไม่ว่าใครได้เป็น จีนจะก้าวขึ้นเป็นเบอร์ 1 ของโลกภายในอีกไม่เกิน 10 ปี

ดร.อมรเทพ จาวะลา ผู้ช่วยกรรมการผู้จัดการใหญ่ สำนักวิจัย ธนาคาร ซีไอเอ็มบี ไทย เปิดเผยว่า การชิงตำแหน่งประธานาธิบดีสหรัฐฯ ระหว่างโดนัลด์ ทรัมป์ แห่งพรรครีพับลิกัน กับ โจ ไบเดน แห่งพรรคเดโมแครต มีนัยต่อการวางยุทธศาสตร์สหรัฐฯ ต่อการวางตัวทางการเมืองและเศรษฐกิจโลก การวางตัวระหว่างสหรัฐฯกับจีน และจะมีผลต่ออนาคตเศรษฐกิจไทย เพราะทั้งคู่มีมุมมอง และนโยบายแตกต่างกัน

จากการวิเคราะห์ เปรียบเทียบ มุมมองและนโยบายทรัมป์ ต้องการแยกเศรษฐกิจสหรัฐฯหรือห่วงโซ่การผลิตออกจากจีน (Decoupling) กระตุ้นบริษัทสหรัฐผลิตสินค้าด้วยวัตถุดิบและกลไกอื่นๆนอกประเทศจีน คงภาษีนำเข้าจากจีน รวมถึงการจำกัดการลงทุนของบริษัทจีนในสหรัฐฯ เพื่อกดดันให้บริษัทจีนมีความสามารถในการแข่งขันลดลง ดังนั้น สงครามการค้าจะดำเนินต่อไป และอาจขยายเป็นสงครามเทคโนโลยี ที่คนสหรัฐต้องเลือกใช้เทคโนโลยีจากสหรัฐฯเท่านั้น ขณะที่คนทั่วโลก ต้องเลือกใช้เทคโนโลยีจากสหรัฐฯ หรือจากจีน หรือต้องใช้ทั้งคู่ ทำให้ต้นทุนการผลิตในประเทศต่างๆ สูงขึ้น

ไบเดน ต้องการให้จีนเปลี่ยนท่าที เปิดตลาดให้สหรัฐฯขายของได้มากขึ้น ลดกฎระเบียบการลงทุนของบริษัทสหรัฐฯในจีน และให้จีนดูแลทรัพย์สินทางปัญญา แต่ไม่ได้เป็นท่าทีที่อ่อนโยนกับจีนนัก เพราะต้องการกดดันให้จีนมีอิทธิพลต่อการค้าโลกลดลง และโอบล้อมจีนด้วยการสานต่อมาตรการ CPTPP (Comprehensive and Progressive Trans-pacific Partnership: ความตกลงที่ครอบคลุมและก้าวหน้าสำหรับหุ้นส่วนทางเศรษฐกิจภาคพื้นแปซิฟิก) ในสมัยโอบามา และเปิดรับการค้าในภูมิภาคเอเชีย เรียกว่าเป็นการเบี่ยงเบนการค้า (trade diversion) ให้สหรัฐฯมีอิทธิพลทางการค้ากับเอเชียแทนที่จีน แต่อาจไม่ใช่การค้าเสรีมากเช่นในอดีต เพราะไบเดนยังคงเน้นการจ้างงานในสหรัฐฯอยู่

สำนักวิจัยฯ ประเมินผลกระทบต่อไทยหลังการเลือกตั้งประธานาธิบดีสหรัฐฯพบว่า หากทรัมป์ชนะ น่าจะเป็นผลบวกต่อประเทศไทย เนื่องจาก 1) สงครามการค้าใกล้จบ 2) นโยบายของทรัมป์ส่งผลให้บริษัทจีนย้ายฐานซึ่งทำให้ไทยได้รับอานิสงส์ 3) ไทยยังเป็นห่วงโซ่อุปทานกับจีนจึงยังต้องสานต่อ RCEP (Regional Comprehensive Economic Partnership: ความตกลงหุ้นส่วนทางเศรษฐกิจระดับภูมิภาค ประกอบด้วย อาเซียน+6 แต่อินเดียยังไม่เข้าร่วม)

หากไบเดนชนะ ไทยจะได้ประโยชน์หากเข้าร่วม CPTPP เนื่องจาก 1) ไบเดนจะอาศัยความร่วมมือจากพันธมิตรในการโอบล้อมจีน 2) การเผชิญหน้าระหว่างสหรัฐฯและจีนไม่ได้ลดทอนความเข้มข้นลง 3) ไทยอาจไม่ได้ประโยชน์จากย้ายฐานการผลิตหากไม่ร่วม CPTPP ขณะที่ไทยยังต้องเดินหน้าสัมพันธ์การค้ากับจีนผ่าน RCEP

แต่ไม่ว่าผู้นำสหรัฐฯคนต่อไปจะเป็นใคร สหรัฐฯจะกลายเป็นมหาอำนาจเบอร์ 2 (America Second) และจีนจะขึ้นเป็นผู้นำโลกแทนสหรัฐฯ (China Number One) เพราะทั้งทรัมป์และไบเดนไม่ใช่ผู้นำโลกการค้าเสรี ทั้งคู่ไม่ได้สนับสนุนโลกาภิวัตน์ แต่จะผลักดันกระแสชาตินิยม เน้นการสร้างงานให้สหรัฐฯ Made in USA เกิดการทวนกระแสโลกาภิวัตน์หรือกระแสโลกาภิวัตน์ตีกลับ (Deglobalization) ทั้งนี้ กระแสชาตินิยมในสหรัฐฯกำลังผลักดันให้จีนก้าวขึ้นเป็นผู้นำโลกการค้าเสรีแทน

จีนจะเดินหน้าจัดตั้งธนาคารเพื่อการลงทุนโครงสร้างพื้นฐานในเอเชีย (ASIAN Infrastructure Investment Bank: AIIB) และโครงการเส้นทางสายไหมแห่งศตวรรษที่ 21 (Belt and Road Initiative: BRI) เพื่อเป็นผู้นำในภูมิภาคเอเชีย ทั้งนี้ สหรัฐฯต้องหาทางอยู่ร่วมกับจีนให้ได้โดยอาจต้องยอมรับว่าจีนคือผู้นำเศรษฐกิจโลกคนต่อไป แต่สหรัฐฯจะยอมรับได้หรือ

ขณะนี้ เศรษฐกิจจีนกำลังเติบโตรวดเร็ว เป็นพลังขับเคลื่อนทางเศรษฐกิจของภูมิภาคและของโลก จีนมีขนาดเศรษฐกิจใหญ่เป็นอันดับ 2 ของโลก รองจากสหรัฐฯ นับจากปี 2553 โดย IMF ระบุว่า จีนมีมูลค่าจีดีพีคิดเป็นสัดส่วน 60% จีดีพีสหรัฐฯ เมื่อปี 2559 และขยับขึ้นเป็น 73% ในปี 2563 ล่าสุด IMF ออกมาคาดการณ์ว่า จีนจะมีสัดส่วนจีดีพีเพิ่มเป็น 90% ของจีดีพีสหรัฐฯ ในอีก 5 ปีข้างหน้า

สำนักวิจัยคาดว่าภายในปี 2573 หรืออีกไม่เกิน 10 ปี จีนจะมีขนาดเศรษฐกิจที่ใหญ่กว่าสหรัฐฯ แม้จีดีพีของจีนยังมีขนาดใหญ่เป็นอันดับ 2 ของโลก แต่ภาคการค้าระหว่างประเทศในปี 2563 พบว่า จีนแซงหน้าสหรัฐฯขึ้นแท่นเป็นอันดับ 1 ของโลกแล้ว และคาดว่าจะชัดเจนมากขึ้นในอีก 5 ปีข้างหน้า

นอกจากนี้ สหรัฐฯยังเผชิญความเสี่ยงในการควบคุมการแพร่ระบาดของ COVID-19 หากไม่มีวัคซีนเศรษฐกิจสหรัฐฯจะโตช้ากว่าที่คาดการณ์ ดังนั้น ผู้นำสหรัฐฯคนต่อไป อาจจะต้องเผชิญความท้าทายที่จะเกิดแรงกดดันที่เราคาดว่าจีนอาจจะก้าวมาเป็นเบอร์หนึ่งของโลกได้เร็วก่อนปี 2573 จึงน่าจับตาว่า สหรัฐฯภายใต้ผู้นำคนใหม่จะยอมอยู่ร่วมกับจีนได้หรือไม่ อย่างไร

“ประเทศไทยต้องเปิดรับทั้งคู่และอยู่ร่วมกับสหรัฐฯและจีนให้ได้ ไม่ควรเลือกข้าง เพราะวันนี้ไทยต้องค้าขายกับจีน แม้จีนยังเป็นมหาอำนาจเบอร์ 2 แต่เรื่องการค้าจีนเป็นเบอร์ 1 ของโลก ไทยจึงต้องเพิ่มการเป็นห่วงโซ่อุปทานการผลิตกับจีนให้มากขึ้น เปิดรับการย้ายฐานจากจีนให้เข้ามาบ้านเราให้มากขึ้น เพื่อหาทางส่งออกไปสหรัฐฯ และส่งออกไปประเทศอื่น ยุทธศาสตร์ของประเทศไทยเช่นนี้เรียกว่า ‘เอียงจีน อ่อนตามสหรัฐฯ’ คือ เปิดรับทั้งสองด้าน เดินหน้า RCEP และร่วม CPTPP แม้ว่าความขัดแย้งของจีนและสหรัฐฯจะยังมีอยู่ภายใต้ผู้นำสหรัฐฯคนต่อไป ไทยไม่สามารถหนีกระแสโลกาภิวัตน์ ผมเชื่อว่าไทยและอาเซียนยังสามารถอยู่รอดได้ภายใต้ความขัดแย้งตรงนี้ แต่หากบริหารไม่ดี กระแสโลกาภิวัตน์ตีกลับ จะมีผลให้เศรษฐกิจไทยโตต่ำกว่าศักยภาพได้”

ดร.อมรเทพ กล่าวเพิ่มเติมว่า ไทยต้องเน้นเรื่องการเป็นหุ้นส่วนกับจีน ผ่านสินค้าอิเล็กทรอนิกส์ เครื่องจักร ขณะเดียวกันต้องเน้นอุปสงค์ในประเทศจีนคือ อาหาร ยาง สินค้าเกษตร และเปิดรับทั้งสองประเทศผ่านกลุ่มอาหาร เกษตร การแพทย์สุขภาพ เป็นซัพพลายเชน กลุ่มยานยนต์ชิ้นส่วน กลุ่มอิเล็กทรอนิกส์ และเดินหน้าเน้นเรื่องการท่องเที่ยวต่อไป