ธุรกิจเจ้าสัวพับแผนออกหุ้นกู้แสนล้าน

เทสโก โลตัส เอ็กซเพรส

ธุรกิจออกหุ้นกู้น้อยกว่าคาด “ThaiBMA” ประเมินยอดทั้งปีแค่ 7แสนล้านบาทหลังรายใหญ่เปลี่ยนแผนหันกู้แบงก์แทน “ไทยเบฟฯ-AWC” ยังเงียบ ฟาก “ซี.พี.” ยังลุ้นผลตัดสินดีลควบรวม “เทสโก้ โลตัส” ส่อเลื่อนแผนออกหุ้นกู้ไปปีหน้า พร้อมคาดการเลือกตั้งสหรัฐกระทบฟันด์โฟลว์ไหลออกจากตลาดบอนด์ซบ “ตลาดหุ้น”

นางสาวอริยา ติรณะประกิจ รองกรรมการผู้จัดการ สมาคมตลาดตราสารหนี้ไทย เปิดเผยว่า ในเดือนพ.ย.นี้ คาดว่าภาคธุรกิจจะออกหุ้นกู้เกือบ 100,000 ล้านบาท ซึ่งน่าจะเป็นยอดที่สูงที่สุดในปีนี้ โดยมีบริษัทที่เตรียมจะออกมากกว่า 20 บริษัท หลังชะลอไว้จากช่วงล็อกดาวน์

โดยตั้งแต่ต้นปีถึงปัจจุบันมีมูลค่าการออกหุ้นกู้อยู่ที่ 6.3 แสนล้านบาท ประเมินว่าถึงสิ้นปีนี้ยอดรวมน่าจะอยู่ที่ 7 แสนล้านบาท ต่ำกว่าที่เคยประมาณการไว้ที่ 8 แสนล้านบาท เนื่องจากแผนการระดมทุนออกหุ้นกู้ของบริษัทเอกชนขนาดใหญ่หลายแห่งเปลี่ยนไปขอวงเงินสินเชื่อจากธนาคารแทน เพราะแบงก์เริ่มแข่งขันปล่อยกู้ให้กับธุรกิจรายใหญ่ โดยให้อัตราดอกเบี้ยที่ค่อนข้างจูงใจ

อริยา ติรณะประกิจ
อริยา ติรณะประกิจ

 

“ช่วงนี้แบงก์เงินเหลือในพอร์ตมาก แต่ก็จะระมัดระวังการปล่อยกู้กลุ่มที่มีความเสี่ยงพอสมควร ดังนั้นกับกลุ่มที่ดี ๆ เช่น บมจ.ไทยเบฟเวอเรจ และ บมจ. แอสเสทเวิรด์ คอร์ป (AWC) ประกาศแผนจะออกหุ้นกู้เพื่อระดมทุนทำโครงการต่าง ๆแต่ตอนนี้เงียบหายไป เชื่อว่าน่าจะกลับไปขอวงเงินจากแบงก์ ส่วนกรณีควบรวมกิจการระหว่างเครือ ซี.พี.กับเทสโก้ โลตัส ศาลยังไม่ตัดสิน อาจจะต้องรอดูปีหน้า” นางสาวอริยากล่าว

ทั้งนี้ ปัจจุบันสภาพคล่องตลาดยังมีเหลืออยู่ค่อนข้างมาก ถือเป็นทางเลือกหนึ่งของนักลงทุน โดยเฉพาะปีนี้เริ่มเห็นการเปิดขายหุ้นกู้แก่นักลงทุนทั่วไป จากเดิมผู้ออกเรตติ้งสูง ๆ จะขายเฉพาะรายใหญ่กับสถาบัน แต่สำหรับผู้ออกที่เรตติ้งต่ำ ๆ(nonrate) ก็เริ่มเห็นว่านักลงทุนให้ความสนใจน้อยลง มีความระมัดระวังมากขึ้นจากภาวะเศรษฐกิจ

ส่วนการเลือกตั้งสหรัฐรอบนี้ ในแง่ผลกระทบต่อตลาดตราสารหนี้ (บอนด์) ไทยนั้น นางสาวอริยากล่าวว่า เชื่อว่าไม่ว่านายโดนัลด์ ทรัมป์ หรือนายโจ ไบเดน จะชนะเลือกตั้ง นโยบายการกระตุ้นเศรษฐกิจ น่าจะทำให้สินทรัพย์เสี่ยงอย่างตลาดหุ้นได้รับประโยชน์มากกว่า โดยคาดว่าเงินทุนต่างชาติ (ฟันด์โฟลว์) จะไหลออกจากตลาดบอนด์ไปสู่ตลาดหุ้น

“ถ้าย้อนไป 4 ปีก่อน ตอนนั้นหลังจากที่ทราบผลเลือกตั้งสหรัฐ ก็พบว่าอัตราผลตอบแทนพันธบัตรรัฐบาล (บอนด์ยีลด์) สหรัฐ กระชากขึ้นค่อนข้างแรงกว่า 0.50% แต่ปีนี้เนื่องจากบอนด์ยีลด์ถูกกระชากขึ้นแรงในช่วงภาวะกองทุนเกิดการไถ่ถอนหนัก (fund run) ไปแล้ว เมื่อเดือน มี.ค. ประกอบกับได้รับผลกระทบการระบาดโควิด-19 ทำให้ราคาพันธบัตรปรับตัวลงหนัก แต่ก่อนการเลือกตั้งเริ่ม จะเห็นบอนด์ยีลด์เริ่มปรับขึ้นมาจากการที่ตลาดมองสถานการณ์เศรษฐกิจที่ยังซบเซา” นางสาวอริยากล่าว

ทั้งนี้ ฟันด์โฟลว์ในตลาดบอนด์ ภาพรวมช่วง 9 เดือนแรกปีนี้ (ม.ค.-30 ก.ย. 2563) ต่างชาติยังขายสุทธิอยู่ที่ 75,489 ล้านบาท อย่างไรก็ดี พบว่าในไตรมาส 3 กลับมาซื้อสุทธิที่ 39,444 ล้านบาท หลังจากไตรมาส 1 ขายสุทธิไป 105,266 ล้านบาท และไตรมาส 2 ขายสุทธิ 5,477 ล้านบาทโดยมูลค่าพันธบัตรที่ต่างชาติถือครองอยู่ที่ 844,172 ล้านบาท ลดลง 0.54% จากปีก่อนที่ถือครอง 848,767 ล้านบาท ขณะที่อายุถือครองยังค่อนข้างยาวประมาณ 9.67 ปี

“เริ่มเห็นบอนด์ยีลด์สหรัฐ รุ่นอายุ 10 ปี ขึ้นมากกว่า 0.30% อยู่ในระดับสูงสุดในรอบ 5-6 เดือน ส่วนบอนด์ยีลด์ของไทย อาจจะขยับขึ้นมาบ้างเล็กน้อย ซึ่งประเมินว่าสิ้นไตรมาส 4 บอนด์ยีลด์ 5 ปี และ 10 ปี น่าจะทรงตัวใกล้เคียงระดับเดิมที่0.86% และ 1.41% ตามลำดับ จากความไม่แน่นอนของเศรษฐกิจในประเทศ ทิศทางดอกเบี้ยโลก และการเคลื่อนย้ายเงินทุน” นางสาวอริยากล่าว