บอนด์ยีลด์ไทยหลังการเลือกตั้งสหรัฐ

ตลาดหุ้นไทย-ตลาดหลักทรัพย์ฯ
คอลัมน์ สถานีลงทุน
ศิรินารถ อมรธรรม
สมาคมตลาดตราสารหนี้ไทย

เส้นบอนด์ยีลด์ไทยในปีนี้มีการเปลี่ยนแปลงในลักษณะที่ความชันเพิ่มมากขึ้น โดยบอนด์ยีลด์ระยะสั้นปรับตัวลดลง แต่บอนด์ยีลด์ระยะยาวปรับตัวสูงขึ้น ซึ่งตั้งแต่ต้นปีเป็นต้นมา บอนด์ยีลด์ระยะสั้นรุ่นอายุ 3 ปี ปรับตัวลดลง 53 bps ตามการปรับลดลงของดอกเบี้ยนโยบายจำนวน 3 ครั้งในช่วงต้นปี ในขณะที่บอนด์ยีลด์ระยะยาวรุ่นอายุ 40 ปีปรับตัวสูงขึ้น 51 bps จากความต้องการกู้เงินของภาครัฐเพื่อนำมาใช้กระตุ้นเศรษฐกิจ

แม้ว่าบอนด์ยีลด์ระยะสั้นปรับตัวลดลง แต่อัตราผลตอบแทนหุ้นกู้ (corporate bond yield) ที่เป็นต้นทุนการกู้ยืมของผู้ออกบริษัทเอกชนไม่ได้ลดลงตาม เนื่องจากส่วนชดเชยความเสี่ยงด้านเครดิต (credit spread) ที่สะท้อนถึงความเสี่ยงในการผิดนัดชำระของผู้ออกที่เป็นบริษัทเอกชนมีการปรับสูงขึ้น โดยมีสาเหตุหลักมาจากการแพร่ระบาดของเชื้อโควิดที่ทำให้ธุรกรรมทางเศรษฐกิจต่าง ๆ ชะลอตัวลงหรือเปลี่ยนแปลงไป

ทั้งนี้ การเพิ่มขึ้นของส่วนชดเชยความเสี่ยงด้านเครดิตเพิ่มขึ้นไม่เท่ากันในผู้ออกแต่ละอันดับเครดิต ตั้งแต่ต้นปีจนถึงปัจจุบันพบว่า ผู้ออกที่มีอันดับเครดิตสูง หรืออันดับเครดิตตั้งแต่ A ขึ้นไป มีส่วนชดเชยความเสี่ยงด้านเครดิตเพิ่มขึ้น 50-80 bps ในขณะที่ผู้ออกอันดับเครดิตต่ำกว่า BBB+ มีส่วนชดเชยความเสี่ยงด้านเครดิตเพิ่มขึ้น100-130 bps ซึ่งสูงกว่าบอนด์ยีลด์ที่ปรับตัวลดลง ผู้ออกบริษัทเอกชนจึงมีต้นทุนการออกหุ้นกู้สูงขึ้น

ความผันผวนต่าง ๆ ที่เกิดขึ้นในช่วงต้นปี เช่น การเทขายพันธบัตรภาครัฐของกลุ่มกองทุนรวม การผิดนัดชำระหุ้นกู้การบินไทย และการเทขายหุ้นกู้ของกลุ่มสหกรณ์ แต่ด้วยมาตรการต่าง ๆ ของภาครัฐที่ช่วยเพิ่มความเชื่อมั่นให้กับนักลงทุน ตลาดตราสารหนี้ก็ค่อย ๆ กลับสู่ภาวะปกติพร้อม ๆ กับบรรยากาศทางเศรษฐกิจที่มีแนวโน้มดีขึ้นจากการคลายล็อกดาวน์ ส่วนชดเชยความเสี่ยงด้านเครดิตของผู้ออกอันดับเครดิตสูงตั้งแต่ A ขึ้นไปเริ่มขยับตัวลง แต่ผู้ออกอันดับเครดิตไม่สูง ส่วนชดเชยความเสี่ยงด้านเครดิตยังค่อนข้างทรงตัวหรือขยับขึ้นต่อเล็กน้อย สะท้อนถึงนักลงทุนได้คลายความกังวลลง แต่ยังอยู่ในโหมดของการระมัดระวัง

สำหรับการเลือกตั้งสหรัฐเมื่อช่วงต้นเดือน พ.ย.ที่ผ่านมานี้ ดูเหมือนจะมีผลกระทบต่อตลาดตราสารหนี้ไทยค่อนข้างจำกัด และต่างจากการเลือกตั้งเมื่อ 4 ปีที่แล้ว ที่ภายหลังการเลือกตั้ง 1 สัปดาห์ บอนด์ยีลด์ไทยรุ่นอายุ 10 ปีปรับตัวสูงขึ้นกว่า 25 bps จาก 2.16% มาที่ 2.42% นักลงทุนต่างชาติมียอดขายสุทธิตราสารหนี้ไทยรวม 58,000 ลบ. และภายหลังการเลือกตั้ง 1 เดือน

บอนด์ยีลด์ไทยรุ่นอายุ 10 ปีปรับตัวสูงขึ้นถึง 58 bps มาอยู่ที่ 2.74% ส่วนนักลงทุนต่างชาติมียอดขายสุทธิตราสารหนี้ไทยถึง 86,000 ลบ. จากการปรับพอร์ตนำเงินกลับไปลงทุนในสหรัฐ รับมาตรการลดภาษีเงินได้นิติบุคคลของอดีตประธานาธิบดีทรัมป์

แต่สำหรับการเลือกตั้งครั้งนี้ ผ่านมาราว 1 สัปดาห์ โดยเมื่อวันศุกร์ที่ 6 พ.ย. บอนด์ยีลด์ไทยรุ่นอายุ 10 ปีปรับตัวสูงขึ้นเพียง 3 bps จาก 1.42% มาที่ 1.45% ส่วนนักลงทุนต่างชาติกลับมียอดการซื้อตราสารหนี้ไทยต่อเนื่องรวม 23,600 ลบ. คาดว่าเนื่องจากการคาดการณ์เงินดอลลาร์อ่อนค่าจากมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจที่จะมีผลต่อสภาพคล่องที่สูงขึ้น นักลงทุนจึงเลี่ยงถือเงินดอลลาร์ บอนด์ยีลด์ไทยแม้ว่าปัจจุบันจะอยู่ในระดับต่ำกว่าเมื่อ 4 ปีที่แล้ว แต่คาดว่าไม่น่าจะปรับตัวสูงขึ้นเท่าครั้งที่แล้ว

จากแนวโน้มการขยายตัวทางเศรษฐกิจของไทยที่ยังคงถูกกดดันจากสถานการณ์การแพร่ระบาดของเชื้อโควิดที่ยังควบคุมไม่ได้ การค้าการลงทุนโดยเฉพาะการท่องเที่ยวที่เป็นอุตสาหกรรมสำคัญของไทยยังไม่ฟื้นตัว โดยบอนด์ยีลด์ไทยน่าจะทรงตัวในทิศทางที่ขยับขึ้นเล็กน้อยจากความต้องการกู้เงินที่เพิ่มขึ้นของภาครัฐเป็นสำคัญ