ต่างชาติโยกเงินเข้าซื้อหุ้นไทย 2 เดือนสุดท้ายจ่อทะลักอีก 1.5 หมื่นล้าน

ทิสโก้-ทาลิส ชี้โค้งท้ายปี ลุ้นเงินต่างชาติโยกออกจากเพื่อนบ้าน วิ่งเข้าตลาดหุ้นไทยต่อเนื่อง ผสมแรงซื้อกองทุนแฝดอีกราว 1 หมื่นล้านบาท เผยตลาดหุ้นไทยปรับตัวขึ้นแรงนำ “ฟิลิปปินส์-มาเลเซีย” ฟาก “บล.เอเซีย พลัส” คาดมีเงินไหลเข้าตลาดหุ้นไทยอีก 1.5 หมื่นล้านบาทใน 2 เดือนข้างหน้า แถมปีหน้าหากการเมืองชัดทะลักอีก 4 หมื่นล้านบาท

นายไพบูลย์ นลินทรางกูร ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัทหลักทรัพย์ ทิสโก้ เปิดเผยว่า ตลาดหุ้นไทยในขณะนี้ถือว่ามีความแข็งแกร่งเมื่อเทียบกับตลาดหุ้นเพื่อนบ้านในอาเซียน โดยเฉพาะในเดือน ต.ค.ที่เห็นชัดเจน ซึ่งเป็นผลจากปัจจัยบวกด้านความเชื่อมั่นของนักลงทุนทั้งไทยและต่างประเทศ โดยเฉพาะแรงซื้อจากต่างชาติ (ฟันด์โฟลว์) ที่ย้ายเงินลงทุนออกจากตลาดหุ้นเพื่อนบ้าน อาทิ อินโดนีเซียและฟิลิปปินส์ ไหลเข้ามาไทย ส่งผลให้ดัชนีตลาดหุ้นไทย ณ วันที่ 12 ต.ค.ที่ผ่านมา ปิดที่ 1,712.48 จุด ซึ่งปรับตัวขึ้นถึง 20% นับจากต้นปี เป็นการปรับตัวขึ้นสูงกว่าตลาดหุ้นเพื่อนบ้าน เช่น ฟิลิปินส์และมาเลเซียที่อยู่ 18% และ 14% ตามลำดับ

ส่วนแนวโน้มตลาดหุ้นไทยช่วงปลายปีนี้ มองว่าโอกาสที่จะปรับตัวขึ้นหวือหวาค่อนข้างยาก เนื่องจากปัจจัยที่จะดันดัชนีปรับขึ้น จะต้องอาศัยปัจจัยพื้นฐานของบริษัทจดทะเบียน (บจ.) ที่ต้องทำกำไรดี และความเชื่อมั่นต่อเศรษฐกิจ เพื่อจูงใจต่างชาติเข้ามาลงทุนเพิ่ม ต่อเนื่องยาวจนถึงปี 2561 ที่จะได้ปัจจัยหนุนจากเรื่องการเลือกตั้งของไทยที่ชัดเจนขึ้น จึงมีโอกาสที่ดัชนีจะทำสถิติสูงสุดเป็นประวัติการณ์ 1,850 จุดในปี 2561

“ส่วนโอกาสที่ฟันด์โฟลว์จะไหลเข้าไทยเพิ่มในช่วงที่เหลือปีนี้ก็ยังมีอยู่ เพราะที่ผ่านมาต่างชาติลงทุนในตลาดหุ้นไทยยังน้อยอยู่ที่ประมาณ 360 ล้านดอลลาร์สหรัฐ หรือราว 1.6 แสนล้านบาท ซึ่งยังไม่สูงมากเมื่อเทียบกับตลาดเพื่อนบ้าน แต่จะไปลงทุนตลาดบอนด์ไทยค่อนข้างเยอะ ปัจจุบันมีมูลค่าสูงถึง 3 แสนล้านบาท” นายไพบูลย์กล่าว

สำหรับปัจจัยลบที่ต้องจับตาในปลายปี 2560 ได้แก่ สถานการณ์ความขัดแย้งระหว่างสหรัฐกับเกาหลีเหนือ การดำเนินนโยบายทางการเงินของสหรัฐ ไม่ว่าจะการลดขนาดงบดุล หรือการทำ “Quantitative Tightening” (QT) ทิศทางการปรับขึ้นดอกเบี้ยนโยบายของธนาคารกลาง (เฟด) ที่อาจส่งผลให้นักลงทุนต่างชาติถอนเงินลงทุนกลับสหรัฐ ซึ่งเบื้องต้นประเมินว่าผลกระทบจะเกิดขึ้นเพียงระยะสั้น จากการปรับฐานของนักลงทุนในช่วงตื่นตัว

นายประภาส ตันพิบูลย์ศักดิ์ ประธานเจ้าหน้าที่การลงทุน บริษัทหลักทรัพย์จัดการกองทุน (บลจ.) ทาลิส กล่าวว่า ปัจจัยที่จะเข้ามาดันดัชนีหุ้นปลายปีนี้ นอกจากแรงซื้อของนักลงทุนต่างชาติแล้ว ต้องติดตามแรงซื้อในประเทศ โดยเฉพาะเม็ดเงินจากกองทุนรวมหุ้นระยะยาว (LTF) และกองทุนรวมเพื่อการเลี้ยงชีพ (RMF) ที่คาดว่าจะมีมูลค่ารวมประมาณ 3-4 หมื่นล้านบาท

นายสันติ กีระนันทน์ ผู้แทนสภาธุรกิจตลาดทุนไทย กล่าวว่า ดัชนีความเชื่อมั่นของนักลงทุน (FETCO) เดือน ต.ค. 2560 ซึ่งเป็นการสอบถามความเชื่อมั่นนักลงทุนในระยะ 3 เดือนข้างหน้า ปรับตัวขึ้นมาอยู่ที่ระดับ 162.63 ถือว่าอยู่ในเกณฑ์ร้อนแรงอย่างมาก (very bullish) สูงสุดนับตั้งแต่เริ่มจัดทำดัชนีเมื่อ ม.ค. 2558 เนื่องจากมีเงินทุนต่างชาติไหลเข้า และความเชื่อมั่นตัวเลขการฟื้นตัวของเศรษฐกิจไทย

นางภรณี ทองเย็น อุปนายกสมาคมนักวิเคราะห์การลงทุน และรองกรรมการผู้อำนวยการ สายงานวิจัย บริษัทหลักทรัพย์ เอเซีย พลัส กล่าวว่า ตลาดหุ้นไทยปีนี้มีโอกาสขึ้นไปแตะ 1,750 จุด โดยคาดว่าในช่วง 1-2 เดือนนี้จะมีเงินลงทุนจากต่างชาติเข้ามาในตลาดหุ้นไทยราว 1-1.5 หมื่นล้านบาท โยกมาจากการลงทุนในภูมิภาค เพราะมองว่าหุ้นไทยยังถูก และเศรษฐกิจไทยเริ่มฟื้นตัว บวกกับเริ่มมีความชัดเจนเรื่องเลือกตั้ง

ทั้งนี้ ประเมินว่า หากทิศทางการเมืองไทยยิ่งมีความชัดเจนในเดือน ก.พ. และเศรษฐกิจไทยขยายตัวมากกว่า 4% ในปีหน้า จะยิ่งทำให้มีเม็ดเงินลงทุนจากต่างชาติไหลเข้ามาลงทุนในตลาดหุ้นเพิ่มขึ้นอีก โดยคาดอยู่ที่ราว 3-4 หมื่นล้านบาท ทำให้มีเงินลงทุนสะสมของต่างชาติในไตรมาสแรกปี 2561 อยู่ที่ 1.7 แสนล้านบาท จากปัจจุบันที่ 1 แสนล้านบาท