โบรกฯชี้ ‘บาทแข็ง’ หนุนฟันด์โฟลว์เข้าหุ้นไทยต่อเนื่อง

เงินบาท

โบรกฯประเมินต้นปี’64 ฟันด์โฟลว์ไหลเข้าตลาดหุ้นต่อเนื่อง “บล.บัวหลวง”ชี้ผลพวงสถานการณ์โลกคลี่คลาย-ความหวังเศรษฐกิจโลกฟื้น ตลาดหุ้นไทยรับอานิสงส์ “บาทแข็ง” เพิ่มความน่าสนใจจากนักลงทุนต่างชาติ เหตุดอกเบี้ยที่แท้จริงเป็นบวก เผยผลตอบแทนตลาดหุ้นไทยเริ่มบวกตั้งแต่ ธ.ค. 63 ฟาก “บลจ.บีแคป” ชี้เทรนด์ต่างชาติกลับเข้ามาลงทุน 2 เดือนล่าสุดซื้อสุทธิ 3.5 หมื่นล้านบาท

นายชัยพร น้อมพิทักษ์เจริญ รองกรรมการผู้จัดการ สายงานค้าหลักทรัพย์บุคคล บริษัทหลักทรัพย์ (บล.) บัวหลวง จำกัด เปิดเผยว่า นักลงทุนต่างชาติมียอดขายสุทธิย้อนหลังในตลาดหุ้นไทยนับตั้งแต่ปี 2556 ถึง ณ วันที่ 30 พ.ย. 2563 ที่ 933,019 ล้านบาท ขณะที่ยอดขายสุทธิย้อนหลัง 3 ปี (ปี 2561-2563) อยู่ที่ 600,351 ล้านบาท โดยคาดว่าเป็นการไหลออกอย่างต่อเนื่องจากปัจจัยการเมืองในประเทศที่กดดัน

นอกจากนี้ ผลตอบแทนของตลาดหุ้นไทยตั้งแต่ต้นปีถึง 30 พ.ย. 2563 กลับลดลงราว 10% สวนทางกับตลาดหุ้นสหรัฐและจีนที่มีกลุ่มหุ้นเทคโนโลยี ซึ่งเป็นกลุ่มที่ได้อานิสงส์ในช่วงที่มีการล็อกดาวน์ เพื่อป้องกันการแพร่ระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโควิด-19

อย่างไรก็ดี ช่วง 1 เดือนที่ผ่านมา (1-25 ธ.ค. 2563) ผลตอบแทนของตลาดหุ้นไทยเริ่มกลับมาเป็นบวกอีกครั้ง สะท้อนจากดัชนี SET50 ที่ปรับขึ้น 25.1% และ SET100 ปรับขึ้น 23.4% สอดคล้องกับสินทรัพย์อื่น ๆ ทั่วโลก

โดยคาดว่าได้รับแรงหนุนจากปัจจัยการเลือกตั้งประธานาธิบดีของสหรัฐที่มีความชัดเจน ส่งผลให้นักลงทุนคลายความกังวลประเด็นข้อพิพาททางการค้าระหว่างประเทศลง รวมถึงปัจจัยบวกจากการค้นพบวัคซีนป้องกันโควิด-19

ในระยะถัดไป นายชัยพรกล่าวว่า สภาพคล่องทั่วโลกมีแนวโน้มไหลเข้ามาลงทุนในตลาดหุ้นอย่างต่อเนื่อง จากความคาดหวังที่เศรษฐกิจโลกในปี 2564 จะกลับมาฟื้นตัว แม้ว่าภาคเศรษฐกิจจริง (real sector) มักจะต้องใช้เวลาฟื้นตัวนานกว่าตลาดหุ้นราว 6-12 เดือนก็ตาม

โดยเฉพาะการไหลเข้ามาลงทุนในตลาดหุ้นเอเชีย รวมถึงตลาดหุ้นไทย เนื่องจากค่าเงินดอลลาร์ที่อ่อนค่าลง อันเป็นผลจากที่ธนาคารกลางสหรัฐ (Fed) อัดฉีดเม็ดเงินเข้าระบบเศรษฐกิจ ส่งผลให้ค่าเงินดอลลาร์อ่อนค่า สวนทางกับค่าเงินในภูมิภาคเอเชียที่แข็งค่าขึ้น เช่น ค่าเงินดอลลาร์ไต้หวัน ค่าเงินวอนเกาหลี รวมถึงค่าเงินบาทไทย ฯลฯ

นายชัยพรกล่าวว่า ค่าเงินบาทที่แข็งค่าส่งผลให้ตลาดหุ้นไทยกลายเป็นเป้าหมายของนักลงทุนต่างชาติ แม้ว่าครั้งนี้ค่าเงินบาทจะไม่ได้ปรับขึ้นแข็งค่าเพียงสกุลเงินเดียวก็ตาม แต่อัตราดอกเบี้ยที่แท้จริง (real interest rate) ของไทยยังเป็นบวก ตรงข้ามกับหลายประเทศในเอเชียที่ผลตอบแทนที่แท้จริงยังติดลบ

“รวมถึงปัจจัยสภาพคล่องที่ล้นโลก สะท้อนจากอัตราผลตอบแทนพันธบัตรที่อยู่ในระดับต่ำ ดังนั้น เชื่อว่านักลงทุนต่างชาติจะยังเข้าซื้อสุทธิตลาดหุ้นไทยต่อเนื่องในปี 2564 แต่ยังยากที่จะประเมินว่าจะไหลกลับมาเท่าไหร่ จากเดิมที่ 3 ปีก่อนหน้านี้เป็นยอดขายสุทธิกว่า 6 แสนล้านบาท” นายชัยพรกล่าว

นายธนาวุฒิ พรโรจนางกูร รองกรรมการผู้จัดการ หัวหน้าสายงานบริหารการลงทุน บริษัทหลักทรัพย์จัดการกองทุน (บลจ.) บางกอกแคปปิตอล (BCAP) กล่าวว่า หลังการค้นพบวัคซีนโควิด-19 ส่งผลให้ตลาดหุ้นทั่วโลกเกิดการเคลื่อนย้ายเงินทุน

จากเดิมที่ลงทุนในหุ้นกลุ่มเทคโนโลยีมาเป็นการลงทุนในหุ้นกลุ่มที่อิงกับการฟื้นตัวของเศรษฐกิจมากขึ้นที่ราคายังปรับขึ้นไม่มาก ซึ่งกระจุกอยู่ในตลาดหุ้นกลุ่มประเทศเกิดใหม่ (emerging market) รวมถึงตลาดหุ้นไทย

ทั้งนี้ ตั้งแต่ต้นปีถึงปัจจุบันนักลงทุนต่างชาติมียอดขายสุทธิหุ้นไทยรวม 264,821.72 ล้านบาท อย่างไรก็ดี ในเดือน พ.ย.เริ่มเห็นสัญญาณต่างชาติกลับเข้ามาซื้อสุทธิ 32,643.75 ล้านบาท และในเดือน ธ.ค. (ณ 25 ธ.ค.) เป็นการซื้อสุทธิเช่นกันที่ 2,084.74 ล้านบาท


“หุ้นไทยอาจยังปรับขึ้นไม่มาก โดยเฉพาะกลุ่มที่มีผลต่อรายได้ประเทศ เช่น กลุ่มท่องเที่ยว หรือกลุ่มส่งออก ฯลฯ แต่เวลาเทรดหุ้นปกตินักลงทุนจะเทรดก่อนที่ธุรกิจจะฟื้นตัวกลับมาได้จริง ซึ่งตอนนี้ก็เป็นจังหวะที่ดีที่นักลงทุนต่างชาติจะทยอยเข้าลงทุน” นายธนาวุฒิกล่าว