บล.ไทยพาณิชย์ ชี้ตลาดหุ้นไทยผันผวนสูง ประเมิน SET Index 1,450-1,500 จุด

ตลาดหุ้น
ภาพ Pixabay

บล.ไทยพาณิชย์ ประเมินตลาดหุ้นไทยโดยรวมในปี 2564 มีแนวโน้มดีขึ้น จากภาพความคาดหวังของการฟื้นตัวของธุรกิจและเศรษฐกิจอย่างค่อยเป็นค่อยไป แจงข่าวดี “วัคซีน-เงินทุนต่างชาติไหลเข้า” เป็นปัจจัยกระตุ้น ประเมินเป้า SET Index ที่เหมาะสมอ้างอิงปัจจัยพื้นฐานอยู่ที่ 1,450 – 1,500 จุด ชูกลยุทธ์การลงทุนใน 1Q64 เน้นเพิ่มน้ำหนักการลงทุนในหุ้นกลุ่มวัฏจักรเศรษฐกิจมากขึ้น รวมถึงซื้อสะสมหุ้นที่เกี่ยวข้องกับเทรนด์ในอนาคต

นายสุกิจ อุดมศิริกุล กรรมการผู้จัดการ สายงานวิจัย บริษัทหลักทรัพย์ ไทยพาณิชย์ จำกัด (SCBS) กล่าวว่า ปี 2564 เป็นปีของความคาดหวังการฟื้นตัวของธุรกิจและเศรษฐกิจจาก COVID-19 หลังจากเริ่มมีการแจกจ่ายวัคซีน แต่อย่างไรก็ตามการฉีดวัคซีนในวงกว้างอาจจะทำได้ไม่เร็ว

ดังนั้นกิจกรรมทางเศรษฐกิจจะฟื้นตัวอย่างค่อยเป็นค่อยไปและยังไม่กลับไปเป็นปกติดังเช่นก่อนเกิด COVID-19 ประเมินว่าเศรษฐกิจโลกจะมีการฟื้นตัวหลากหลายรูปแบบ ซึ่งเศรษฐกิจจีนและสหรัฐจะมีการฟื้นตัวเร็ว ส่วนยุโรป ญี่ปุ่น และไทยผ่านจุดต่ำสุดไปแล้ว แต่จะฟื้นตัวช้าเนื่องจากต้องพึ่งพาความต้องการจากต่างประเทศและการท่องเที่ยวสูง นอกจากนั้นนโยบายการเงินที่ผ่อนคลายจะเป็นอีกปัจจัยที่สนับสนุนการฟื้นตัว

ด้านเศรษฐกิจไทยปี 2564 คาดการณ์ว่า GDP จะเติบโต 3% YoY โดยมีแรงขับเคลื่อนหลักจากการบริโภคภายในประเทศและการส่งออกเป็นสำคัญ หลังจากเกิดการแพร่ระบาดของ COVID-19ในปีที่ผ่านมา ได้เห็นการปรับตัวของหลายๆ อุตสาหกรรมในประเทศไทยและมองว่าอุตสาหกรรมที่จะเห็นการฟื้นตัวอย่างโดดเด่น ปี 2564

คือ กลุ่มพลังงานและปิโตรเคมี, ประกัน, อาหาร, บรรจุภัณฑ์, การแพทย์ และขนส่งทางบก สำหรับกลุ่มโรงแรมและสายการบินอาจจะเห็นการฟื้นตัวอย่างโดดเด่นเช่นกัน แต่ยังมองว่าผลประกอบการน่าจะยังขาดทุนต่อเนื่องจากปีก่อน สำหรับการระบาดของ COVID-19 รอบใหม่ในปัจจุบัน เชื่อว่าทุกภาคส่วนมีความพร้อมในการรับมือมากขึ้น อย่างไรก็ตาม ต้องยอมรับว่า ภาคการท่องเที่ยวยังคงได้รับผลกระทบมากทำให้คาดว่าการฟื้นตัวจะเริ่มเห็นใน 4Q64 เป็นต้นไป

ด้านตลาดหุ้นไทยในปี 2564 มีแนวโน้มสดใสกว่าปี 2563 จากความเสี่ยงด้านเศรษฐกิจที่ลดลง เนื่องจากอยู่ในช่วงของผลการดำเนินงานที่ฟื้นตัวต่อเนื่องถึงปี 2565 โดยเฉพาะธุรกิจที่ขึ้นกับวัฏจักรเศรษฐกิจ (พลังงาน ปิโตรเคมี ธนาคาร การบริโภค และ การท่องเที่ยว เป็นต้น) โดยคาดการณ์กำไรของบริษัทจดทะเบียนจะฟื้นตัว 40% YoY ในปี 2564 และ 19% YoY ในปี 2565

อย่างไรก็ตาม ความผันผวนจะยังอยู่จากระดับราคาหุ้นที่ปรับตัวขึ้นเร็วและความเสี่ยงภายนอกที่สูงขึ้น ประเมินระดับเหมาะสมของ SET Index ปี 2564 อยู่ที่ 1,450-1,500 จุด อ้างอิงจากปัจจัยพื้นฐาน อย่างไรก็ตาม คาดว่า SET Index ในบางช่วงเวลามีโอกาสแกว่งตัวขึ้นไปเกินกว่าระดับดังกล่าว 5-10% จากปัจจัยหนุนของสภาพคล่องในตลาดการเงินที่สูง เงินทุนต่างประเทศที่กลับเข้ามาลงทุน และความคาดหวังต่อการฟื้นตัวของผลการดำเนินงานที่ต่อเนื่องถึงปี 2565

กลยุทธ์การลงทุนไตรมาสแรกปี 2564 เน้นเพิ่มน้ำหนักการลงทุนในหุ้นกลุ่มวัฏจักรเศรษฐกิจมากขึ้น ตามการฟื้นตัวของเศรษฐกิจ รวมถึง ซื้อสะสมหุ้นที่เกี่ยวข้องกับเทรนด์ในอนาคต ได้แก่ พลังงานสะอาด การดูแลสุขภาพ และ การเปลี่ยนแปลงด้านเทคโนโลยี หุ้นแนะนำ ได้แก่

– BDMS : Healthcare เทรนด์นี้ไม่มี Out : บริษัทรุกตลาดผู้ป่วยมีประกันช่วยหนุนกำไรยั่งยืน ขณะที่คาดผลการดำเนินงานผ่านจุดต่ำสุดแล้ว โดยปี 2564 คาดกำไรปกติจะพลิกเติบโต 29%YoY ส่วนปัจจัยที่ติดตาม คือ การฟื้นตัวของผู้ป่วยต่างชาติจากมาตรการล็อคดาวน์ การแข่งขันในกลุ่ม รพ. เอกชนระดับบน และ มาตรการภาครัฐ เช่น การคุมราคายาและค่ารักษา

– EA : New S-Curve จากธุรกิจแบตเตอรี่ : ในอีก 3-5 ปีข้างหน้างบลงทุนส่วนใหญ่จะอยู่ที่ธุรกิจแบตเตอรี่ ซึ่งมองว่าเป็นธุรกิจพลังงานใหม่และสะอาดที่มีศักยภาพเติบโตสูงในอนาคต ส่วนปัจจัยที่ติดตามคือ การลงทุนขนาดใหญ่ในโรงงานแบตเตอรี่เฟสที่ 2 การส่งมอบรถยนต์ไฟฟ้าคาดว่าจะเกิดขึ้นใน 2H64 และการประมูลรถโดยสารประจำทางจำนวน 3,000 คัน ใน 1Q64

– MINT : ปรับตัวเร็วในภาวะวิกฤติ : คาดว่าผลการดำเนินงานจะฟื้นตัวเด่นหลังสถานการณ์ COVID-19 ดีขึ้น อีกทั้งบริษัทยังปรับตัวได้เร็วทั้งการเพิ่มทุนและออก Perpetual Debenture ปีก่อนเพื่อเพิ่มสภาพคล่องและการคุมค่าใช้จ่ายอย่างเข้มข้น ปัจจัยที่ติดตามคือ การฟื้นตัวของอุตสาหกรรมท่องเที่ยวทั้งไทยและต่างประเทศ การแข่งขันด้านราคาที่รุนแรงอาจจะกระทบต่อศักยภาพทำกำไรของโรงแรมและการแข็งของค่าเงินบาท

– SCGP : ผู้นำธุรกิจบรรจุภัณฑ์ในอาเซียน : กำไรปกติคาดเติบโตแกร่งเฉลี่ยปีละ 16% ในปี 2562-2565 จากกำลังผลิตที่เพิ่มขึ้น อัตรากำไรที่สูงขึ้น และดอกเบี้ยจ่ายที่ลดลงหลังจากชำระคืนหนี้ ส่วนปัจจัยที่ติดตามคือ การแข่งขันในอุตสาหกรรมบรรจุภัณฑ์ และทิศทางต้นทุนวัตถุดิบเศษกระดาษรีไซเคิล (RCP)

– SPALI : หุ้นที่อยู่อาศัยที่ไม่ควรมองข้าม : ปี 2564 คาดมีกำไรสุทธิ 5.1 พันลบ. เติบโต 29% YoY สูงสุดของกลุ่ม ขณะที่ผลตอบแทนจากเงินปันผลน่าสนใจราวปีละ 6% ส่วนปัจจัยที่ติดตามคือ การฟื้นตัวของเศรษฐกิจไทยและการตอบรับของ Presales ในโครงการใหม่ ความเข้มงวดการปล่อยสินเชื่อและ Rejection Rate

– IIG : ผู้นำในยุค Digital Transformation : อยู่ในอุตสาหกรรมที่เติบโตชัดเจน โดยเฉพาะการทำ CRM (60% ของรายได้) จากระบบซอฟต์แวร์ของ Salesforce ซึ่งมีการเติบโตในระดับ 25-30% ต่อปี ส่วนปัจจัยที่ติดตามคือ กระแสตอบรับของธุรกิจใหม่ที่เป็น Recurring Income ทั้งหมด ข้อสรุปของงานที่อยู่ใน Pipeline ว่าเซ็นสัญญาได้เร็วแค่ไหน

– IP : โภชนบำบัดเทรนด์นี้จะมาแรง : เป็นผู้นำธุรกิจโภชนบำบัดซึ่งมีโอกาสเติบโตในระยะยาวจากการเข้าสู่สังคมผู้สูงอายุและพฤติกรรมผู้บริโภคที่ดูแลสุขภาพมากขึ้น โดยปี 2564 คาดกำไรโตเด่นกว่า 50%YoY ปัจจัยที่ติดตามคือ สินค้าใหม่ออกได้ตามแผนที่กำหนดหรือไม่ การแข่งขันที่สูงในธุรกิจสุขภาพและกระแสความนิยมในสินค้าที่อาจเปลี่ยนแปลง และการจับมือกับพันธมิตรเพื่อทำธุรกิจใหม่ ๆ

– THREL : กำไรฟื้นตัวแรง : ปี 2564 คาดกำไรพลิกฟื้นโต 90% จากการหายไปของการตั้งสำรองพิเศษและค่าสินไหมทดแทนจากสัญญาที่ได้ยกเลิกไป รวมทั้งการคุมคุณภาพช่วยลด loss ratio จากผลิตภัณฑ์ประกันสุขภาพ ส่วนการฟื้นตัวของตลาดทุนและผลตอบแทนพันธบัตรรัฐบาลคาดหนุน ROI ฟื้นตัว ปัจจัยที่ติดตาม คือ กำลังซื้อฟื้นตัวช้ากว่าคาด Combined Ratio ผันผวนตาม Loss Ratio และ ROI ผันผวนตามตลาดทุนและผลตอบแทนพันธบัตร

– TNP : Local Modern Trade เติบโตในรูปแบบที่แตกต่าง : เป็นหุ้นค้าปลีกไม่กี่บริษัทที่ปี 2564 คาดกำไรโตต่อในระดับสองหลัก คือ 13.5% จากปี 2563 ที่คาดโตเด่นแล้ว 44.4%YoY จากการรับรู้ยอดขายสาขาใหม่ 4-5 แห่ง ปัจจัยที่ติดตามคือ กำลังซื้อฟื้นตัวช้ากว่าคาด และการแข่งขันที่รุนแรงในธุรกิจค้าปลีกสมัยใหม่

– WICE : ธุรกิจ Logistic ในเอเชียยังเติบโตได้ดี : กำไรอยู่ในทิศทางขาขึ้น โดยปี 2564 คาดกำไรโต 13.8% จากปี 2563 ที่คาดโตเด่นเกือบ 2 เท่า แรงหนุนจากการฟื้นตัวของปริมาณขนส่งชิ้นส่วนยานยนต์และอิเล็กทรอนิกส์ บวกกับ ดีมานต์ขนส่งสินค้าข้ามแดนยังเพิ่มขึ้นในตลาดจีนและอาเซียน ปัจจัยที่ติดตามคือ ความตึงเครียดระหว่างจีนและสหรัฐฯ การขยายตัวของเศรษฐกิจ และการแข่งขันที่สูงขึ้นในธุรกิจ