โบรกฯ เก็ง “TISCO” จ่ายปันผล 4.3%

กำไรแบงก์ปี63

“บล.เมย์แบงก์ กิมเอ็ง” คาดทุกแบงก์เตรียมจ่ายปันผลรอบผลดำเนินงานปี’63 เก็ง “TISCO” จ่ายปันผลที่ 4.3% หรือ 4.5 บาทต่อหุ้น

นายวิจิตร อารยะพิศิษฐ ผู้อำนวยการฝ่ายวิจัยหลักทรัพย์ บริษัทหลักทรัพย์ เมย์แบงก์ กิมเอ็ง (ประเทศไทย) จำกัด เปิดเผยว่า หลังจบการรายงานกำไรของกลุ่มธนาคารพาณิชย์ไปเมื่อวันที่ 21 ม.ค. 2564 พบว่า ภาพรวมกำไรยังไม่ค่อยสดใสนัก เนื่องจากภาระการตั้งสำรองที่สูง โดยมีเพียง ธนาคารกสิกรไทย (KBANK) เท่านั้น ที่ภาระการตั้งสำรองต่ำที่สุดในอุตสาหกรรม หลังจากในช่วงครึ่งปีแรกของปี 2563 ได้ตั้งสำรองไปมากแล้ว

อย่างไรก็ดี ราคาหุ้นแบงก์วานนี้ปรับขึ้นเก็งกำไรประเด็นที่ตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย (ตลท.) เตรียมออกมาตรการดูแลหุ้นที่มีสัดส่วนรายย่อยถือครองต่ำ (Free Float) ซึ่งกลุ่มธนาคารได้รับอานิสงส์จากที่มีฟรีโฟลทสูงที่สุดในกลุ่มดัชนี SET50 และ SET100 ซึ่งนักลงทุนสถาบันอาจต้องปรับเพิ่มน้ำหนักในระยะถัดไป
นอกจากนี้ นักลงทุนยังเก็งกำไรภาพเชิงบวก โดยคาดว่าธนาคารอื่นๆ ที่มีภาพการตั้งสำรองในไตรมาส 4/63 สูง เช่น ธนาคารไทยพาณิชย์ (SCB) จะสามารถฟื้นตัวได้ดีอย่าง KBANK ในระยะถัดไป

เมื่อสอบถามโอกาสที่ธนาคารแต่ละแห่งจะประกาศปันผลแก่ผู้ถือหุ้น นายวิจิตร กล่าวว่า ธนาคารพาณิชย์ทุกแห่งมีแนวโน้มจะจ่ายเงินปันผล แต่อาจจ่ายในอัตราที่ลดลง เนื่องจากธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) กำหนดเพดานการจ่ายเอาไว้เพื่อให้ธนาคารยังสามารถรักษาความแข็งแกร่งในช่วงโควิด-19

อีกทั้งการจ่ายปันผลจะช่วยลดสัดส่วนของผู้ถือหุ้น (Equity) และส่งผลให้สัดส่วนผลตอบแทนต่อส่วนของผู้ถือหุ้น (ROE) ปรับขึ้น ซึ่งจะส่งผลบวกต่อราคาซื้อขาย เช่น ราคาหุ้นต่อมูลค่าทางบัญชี (PBV) ปรับขึ้นในระยะถัดไป

“ปัจจุบันเราเลือก TISCO เป็นหุ้นเด่นในกลุ่ม เนื่องจากบริษัทฯ มีความแข็งแกร่งทั้งในคุณภาพสินทรัพย์ อีกทั้งยังได้อานิสงส์จากการปรับพอร์ตหนีหุ้นใหญ่ที่โมเมนตัมไม่ดีจากนักลงทุนสถาบัน ขณะที่ตัวเลขอื่นๆ อย่างส่วนต่างดอกเบี้ย (NIM) ก็เร่งตัวขึ้น ส่วนการตั้งสำรองก็ไม่มากเท่าแบงก์ขนาดใหญ่ โดยคาดการณ์งวดปี 2563 จะปันผลอยู่ที่ 4.3% หรืออยู่ที่ 4.5 บาทต่อหุ้น” นายวิจิตรกล่าว

นายวิจิตร กล่าวอีกว่า ขณะที่ความน่าสนใจในการลงทุนหุ้นแบงก์ตัวอื่นๆ ได้แก่ SCB และ BBL แนะนำทยอยสะสม เนื่องจากภาพระยะยาวยังมองเป็นเชิงบวก ส่วน KBANK แนะนำย่อซื้อสะสม เนื่องจากราคาหุ้นปรับขึ้นมามากพอสมควรแล้ว ขณะที่ TMB คาดว่าภาพการฟื้นตัวจะเกิดขึ้นในปี 2565 เนื่องจากการทยอยตั้งสำรองยังค่อนข้างต่ำ จากการที่ยังต้องใช้เงินในการจัดการดีลการควบรวมกับธนชาตในปีนี้ ส่วนหุ้นที่ไม่แนะนำลงทุน ได้แก่ KTB เนื่องจากการดำเนินงานอิงกับนโยบายของภาครัฐสูง