ฟิทช์ หั่นเครดิตเรตติ้ง “ซีพี ออลล์” ปมซื้อ “เทสโก้” หนี้เพิ่ม-รายได้ชะลอ

ซีพี ควบรวมเทสโก้

“ฟิทช์ เรทติ้งส์” ประกาศปรับลดเครดิตเรตติ้ง “ซีพี ออลล์ ” เป็น A-(tha) เหตุหนี้เพิ่มหลังซื้อ “เทสโก้” ขณะที่รายได้ส่อโตต่ำกว่าคาด จากผลกระทบ “โควิด-19” ฉุดยอดขายร้าน “7-Eleven”

ผู้สื่อข่าวรายงานว่า บริษัท ฟิทช์ เรทติ้งส์ (ประเทศไทย) จำกัด ได้ประกาศปรับลดอันดับเครดิตภายในประเทศระยะยาว (National Long-term Rating) ของบริษัท ซีพี ออลล์ จำกัด (มหาชน) หรือ CP ALL เป็น A-(tha) จาก A(tha) แนวโน้มอันดับเครดิตมีเสถียรภาพ

โดยการปรับลดอันดับเครดิต สะท้อนถึงการคาดการณ์ของฟิทช์ว่าอัตราการลดลงของอัตราส่วนหนี้สินของ CP ALL ซึ่งวัดจาก อัตราส่วนหนี้สินสุทธิที่ปรับปรุงแล้วต่อกระแสเงินสดจากการดำเนินงานก่อนการเปลี่ยนแปลงของเงินทุนหมุนเวียน (FFO adjusted net leverage) ในช่วง 2 ปีข้างหน้า ไม่น่าจะสอดคล้องกับอันดับเครดิตเดิม เนื่องจากความเชื่อมั่นของผู้บริโภคลดลงอย่างมากหลังจากการระบาดระลอกใหม่ของเชื้อไวรัสโคโรนาในเดือนธันวาคม 2563

ทำให้การใช้จ่ายของผู้บริโภคในช่วงเทศกาลสิ้นปีอยู่ในระดับต่ำ และฟิทช์เชื่อว่าแนวโน้มดังกล่าวน่าจะเป็นไปอย่างต่อเนื่องในปี 2564 ฟิทช์คาดว่าอัตราส่วนหนี้สินของ CP ALL น่าจะอยู่ในระดับ 5.5 เท่าในปี 2565 ซึ่งสูงกว่าระดับ 5.0 เท่าในประมาณการเดิม

อัตราส่วนหนี้สินของ CP ALL เพิ่มสูงขึ้นจากการเข้าลงทุนในสัดส่วนร้อยละ 40 ของหุ้นที่จำหน่ายได้แล้วทั้งหมดของ บริษัท เทสโก้ สโตร์ส (ประเทศไทย) จำกัด และ Tesco Stores (Malaysia) Sdn. Bhd. (ต่อไปรวมกันเรียกว่า “เทสโก้ เอเชีย”) ในเดือนธันวาคม 2563 ฟิทช์ไม่คาดว่าเทสโก้ เอเชีย จะจ่ายเงินปันผลให้แก่ CP ALL ในปี 2564-2565 เนื่องจาก เทสโก้ เอเชียอาจต้องมีค่าใช้จ่ายลงทุนและภาระดอกเบี้ยจ่ายของเงินกู้ของบริษัทที่เพิ่งจัดตั้งขึ้นเพื่อถือหุ้นของเทสโก้ เอเชียโดยตรง

ซึ่งปัจจัยที่มีผลต่ออันดับเครดิตนั้น ฟิทช์คาดว่ารายได้ของ CP ALL จะเติบโตในอัตราร้อยละ 7-8 ในปี 2564 ซึ่งต่ำกว่าที่คาดไว้เดิมที่ร้อยละ 11-12 เนื่องจากการระบาดระลอกใหม่ของเชื้อไวรัสโคโรนาในประเทศไทยตั้งแต่ต้นเดือนธันวาคม 2563 ทำให้มีความเข้มงวดมากขึ้นในการรักษาระยะห่างทางสังคม (Social Distancing) ซึ่งส่งผลกระทบต่อการฟื้นตัวของจำนวนลูกค้าที่เข้าร้านซึ่งเป็นไปอย่างค่อนข้างช้าอยู่แล้ว

และน่าจะส่งผลกระทบต่อความเชื่อมั่นและการใช้จ่ายของผู้บริโภคในปี 2564 ด้วย ฟิทช์ยังคงคาดว่า อัตราการเติบโตของยอดขายของ CP ALL น่าจะอยู่ที่ร้อยละ 9-10 ในปี 2565 โดยได้รับปัจจัยสนับสนุนจากการมีวัคซีน และการเปิดประเทศรับนักท่องเที่ยวจากต่างประเทศ อย่างไรก็ตาม อัตราการฟื้นตัวดังกล่าวยังคงอยู่ในระดับต่ำเกินกว่าที่จะทำให้อัตราส่วนหนี้สินของ CP ALL ลดลงมาอยู่ในระดับที่สอดคล้องกับอันดับเครดิตเดิมได้

อัตราการเติบโตของยอดขายของร้าน 7-Eleven ในปี 2564 น่าจะได้รับปัจจัยสนับสนุนจากการเปิดร้านใหม่อย่างต่อเนื่องเป็นหลัก ในขณะที่ยอดขายต่อร้านเดิม (Same Store Sales) ไม่น่าจะมีการเพิ่มขึ้นอย่างมีนัยสำคัญ ฟิทช์เชื่อว่าการระบาดระลอกใหม่ของเชื้อไวรัสโคโรนา น่าจะทำให้ร้านเปิดใหม่ใช้เวลานานขึ้นกว่าเดิมที่จะทำให้ผลประกอบการมีกำไร

ส่วนธุรกิจค้าส่งของบริษัท สยามแม็คโคร จำกัด (มหาชน) หรือ Makro (A-(tha)/แนวโน้มเครดิตมีเสถียรภาพ) ซึ่งเป็นบริษัทย่อยของ CP ALL น่าจะได้รับผลกระทบในระดับที่น้อยกว่า เนื่องจากยอดขายที่ลดลงของกลุ่มลูกค้าผู้ประกอบการโรงแรม ร้านอาหาร และธุรกิจจัดเลี้ยง (HORECA) น่าจะได้รับการชดเชยบางส่วนจากยอดขายที่เพิ่มขึ้นจากช่องทางออนไลน์และจากลูกค้าประเภทครัวเรือน ซึ่งหันมาทำอาหารรับประทานเองที่บ้าน รวมถึงมีความกังวลที่เพิ่มขึ้นเกี่ยวกับความสะอาดปลอดภัยของอาหารจากการรับประทานอาหารนอกบ้านและการซื้ออาหารในตลาดสด

ทั้งนี้ ฟิทช์คาดว่าอัตราส่วนหนี้สินของ CP ALL จะเพิ่มขึ้นมาอยู่ในระดับ 6.6 เท่า ณ สิ้นปี 2563 หลังจากการเข้าซื้อกิจการเทสโก้ เอเชีย ฟิทช์คาดว่าอัตราส่วนหนี้สินดังกล่าวจะลดลงมาอยู่ในระดับ 6.0 เท่า ในปี 2564 และ 5.5 เท่า ในปี 2565 ซึ่งยังคงสูงกว่าระดับที่สอดคล้องกับอันดับเครดิต ‘A(tha)’ CP ALL ได้ใช้เงินลงทุนจากการกู้ยืมจำนวนประมาณ 2.7 พันล้านเหรียญสหรัฐฯ (ประมาณ 8.6 หมื่นล้านบาท) ในการลงทุนในสัดส่วนร้อยละ 40 ของ เทสโก้ เอเชีย เมื่อกลางเดือนธันวาคม 2563 ในขณะที่บริษัทที่จัดตั้งขึ้นใหม่เพื่อถือส่วนได้ส่วนเสียทางเศรษฐกิจทั้งหมดของเทสโก้ เอเชียโดยตรง จะมีการก่อหนี้อีก 4 พันล้านเหรียญสหรัฐฯ

ด้านอัตราส่วนกำไรจากการดำเนินงานก่อนดอกเบี้ยจ่าย ภาษี ค่าเสื่อมราคา ค่าตัดจำหน่าย และค่าเช่า ต่อยอดขาย (EBITDAR Margin) ของ CP ALL จะปรับตัวเพิ่มขึ้นมาอยู่ที่ประมาณร้อยละ 9.5 ในปี 2564-2565 หลังจากลดลงมาอยู่ในระดับประมาณร้อยละ 9 ในปี 2563 (ในปี 2562 อยู่ที่ร้อยละ 10) ทั้งนี้ เป็นผลจากยอดขายที่ลดลงในสภาวะแวดล้อมในการดำเนินงานที่ยากลำบากมากขึ้น รวมถึงโครงสร้างค่าใช้จ่ายที่มีสัดส่วนค่าใช้จ่ายคงที่อยู่ในระดับสูง

ซึ่งส่งผลให้นโยบายการลดต้นทุนมีผลจำกัด อัตราส่วนกำไรของ CP ALL ลดลงในช่วง 2-3 ปีที่ผ่านมา เนื่องจากค่าใช้จ่ายในการดำเนินงานที่สูงขึ้น อันเป็นผลมาจากการเปิดร้าน 7-Eleven สาขาใหม่ที่มีขนาดพื้นที่ใหญ่ขึ้น ทำให้มีค่าใช้จ่ายด้านบุคคลากรสูงขึ้น รวมถึง สาขาในต่างประเทศของ Makro ซึ่งยังมีอัตรากำไรอยู่ในระดับต่ำในช่วงแรกของการเปิดดำเนินการ


การกระจายความเสี่ยงและสถานะทางการตลาดที่แข็งแกร่งขึ้น: ฟิทช์เชื่อว่าการเข้าซื้อกิจการเทสโก้ เอเชีย ทำให้ CP ALL มีสินค้าและบริการที่เสนอขายรวมถึงมีรูปแบบของร้านค้าที่หลากหลายมากขึ้น CP ALL ยังน่าจะได้รับประโยชน์จากการใช้ระบบนิเวศทางธุรกิจร่วมกันและการรวมเครือข่ายร้านค้ากว่า 13,000 ร้าน ทั้งในรูปแบบร้านสะดวกซื้อ ร้านค้าปลีกขนาดใหญ่ และร้านค้าส่ง มาอยู่ภายใต้ระบบเดียวกัน ฟิทช์คาดว่า CP ALL จะให้การสนับสนุนแก่เทสโก้ตามสัดส่วนการถือหุ้น ฟิทช์จึงจะคำนวณอัตราส่วนหนี้สินโดยรวมหนี้สินและกำไรของเทสโก้ เอเชีย ตามสัดส่วนการถือหุ้นในการพิจารณา CP ALL