คลังหวังไตรมาส 4 ท่องเที่ยวกลับมา 5 ล้านคน “ทีดีอาร์ไอ” ชี้โควิดจบสิ้นปี’65

คลัง คาดเศรษฐกิจปีนี้โต 2.8% นักท่องเที่ยวฟื้นไตรมาส 4 กลับมา 5 ล้านคน ชี้อนาคตเดินหน้านโยบายการออม หลังไทยก้าวสู่สังคมสูงวัยเต็มรูปแบบ ด้าน “ทีดีอาร์ไอ” ชี้ เศรษฐกิจปีนี้โตกว่าปีที่แล้ว 3% คาดโควิดจบปี’65 เศรษฐกิจไทยต้องพึ่ง “ส่งออก-การบริโภคในประเทศ”

น.ส.กุลยา ตันติเตมิท ผู้อำนวยการสำนักงานเศรษฐกิจการคลัง (สศค.) เปิดเผยภายในการเสวนา หัวข้อ “แผนยุทธศาสตร์ สำนักงานคณะกรรมการกำกับหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์ (ก.ล.ต.) กับทิศทางเศรษฐกิจและตลาดทุนปี 2564” ว่า สศค. ประเมินว่าเศรษฐกิจไทยในปี 2564 จะขยายตัวที่ 2.8% โดยช่วงปลายปีที่แล้ว มีเครื่องยนต์ขับเคลื่อนเศรษฐกิจบางตัวเริ่มผงกหัวขึ้นได้

แต่เมื่อการระบาดของโควิด-19 กลับมารอบใหม่ การท่องเที่ยวก็กลับมาติดลบ 100% อย่างไรก็ดี ในปีนี้ยังมีความหวังเรื่องวัคซีนกลับมา จึงคาดว่าการท่องเที่ยวในไตรมาส 4 ของปีนี้ จะมีนักท่องเที่ยวต่างชาติกลับเข้ามาในประเทศ 5 ล้านคน

 

สำหรับภาคเอกชน ยังมีความต้องการเข้าถึงแหล่งเงินทุน และยังมีความท้าทายในการดำเนินกิจการ อย่างไรก็ดี ปีที่ผ่านมามีเม็ดเงินจากภาครัฐเข้ามาช่วยทั้งภาคประชาชนและเอกชน ผ่านการออก พ.ร.ก.กู้เงิน 1 ล้านล้านบาท ซึ่งกองทุนการเงินระหว่างประเทศ (IMF) คาดการณ์ว่าเศรษฐกิจไทยในปี 2563 จะติดลบ 7-8% ขณะที่ สศค. ประเมินว่าจะหดตัวที่ ลบ 6.7% อย่างไรก็ดี ในวันที่ 15 ก.พ.นี้ สำนักงานสภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ (สศช.) จะประกาศตัวเลขเศรษฐกิจปี 2563 อย่างเป็นทางการ ซึ่งต้องรอติดตามผลอีกที

อย่างไรก็ดี ในอนาคตสิ่งที่ต้องดูแลหลังสถานการณ์โควิด-19 คือสังคมผู้สูงอายุ ซึ่งปี 2564 เป็นปีแรกที่ก้าวสู่สังคมสูงวัยเต็มรูปแบบ โดยรัฐบาลดูแลผู้สูงอายุ 20% ของการดูแลประเทศ ฉะนั้น ในส่วนนี้จะต้องมีมาตรการออกมาดูแล เพื่อรับมือสังคมสูงวัย เช่น การสนับสนุนการออม เป็นต้น

ด้านนางกริฎา เภาพิจิตร ผู้อำนวยการโครงการวิเคราะห์เศรษฐกิจเชิงลึก ทีดีอาร์ไอ กล่าวว่า คาดการณ์ว่าเศรษฐกิจไทยปี 2564 เติบโตกว่าปีที่แล้ว 2-3% ซึ่งทีดีอาร์ไอคาดการณ์ว่าปีที่แล้วหดตัว 7-8% อย่างไรก็ดี แม้ปีนี้เศรษฐกิจไทยยังไม่ไปสู่ระดับปี 2563 แต่ก็จะค่อนข้างจะเหนื่อย เพราะการแพร่ระบาดของโควิด-19 ยังไม่จบ ยังมีการระบาดรอบใหม่ ยังควบคุมการระบาดไม่ค่อยได้ อาจใช้เวลากว่า 46 เดือน

ส่วนความหวังเรื่องวัคซีนก็ยังไม่ครอบคลุมทั้งประเทศ เนื่องจากวัคซีนที่จองไว้มีเพียง 28 ล้านโดส ซึ่งใน 1 คน ฉีด 2 โดส ก็จะทำให้ประชากรไทยได้รับวัคซีนล็อตแรกเพียง 14 ล้านคน ฉะนั้น มองว่าในปีนี้คนไทยจะได้รับการฉีดวัคซีนไม่ถึง 50% ของประชากรทั้งประเทศ และต้องรออีก 6 เดือน เพื่อฉีดวัคซีนให้ครบ 50%

นอกจากนี้ ทีดีอาร์ไอ มองว่าโควิด-19 น่าจะจบปลายปี 2565 คนไทยยังต้องอยู่ต่อกับการแพร่ระบาดของโควิด-19 ดังนั้น จึงต้องพึ่งพา 2 เครื่องยนต์หลัก คือการส่งออก และการบริโภคภาคเอกชน ต่างจากอดีตที่อาศัยท่องเที่ยวด้วย โดยเชื่อว่านักท่องเที่ยวจะกลับมาในปี 2566 เพราะต้องรอโควิดจบ ส่วนความหวังเรื่องการท่องเที่ยวไทยกันเอง อาจยังไม่กลับไปสู่จุดเดิม

โดยข้อมูลการท่องเที่ยวเมื่อเดือน พ.ย.ปีที่แล้ว ชี้ให้เห็นว่าการใช้จ่ายท่องเที่ยวอยู่ที่ 60% ฉะนั้น ความหวังเรื่องเครื่องยนต์การท่องเที่ยวต้องชะลอไว้ก่อน มีหวังเพียงเรื่องของการส่งออก ไปที่สหรัฐ จีน ยุโรป และญี่ปุ่น ที่มีมีสัญญาณฟื้นตัว จากปี 2563 คาดว่าส่งออกหด 7.7% แต่ปีนี้คาดว่าเติบโต 5%

ทั้งนี้ ในส่วนของภาคเอกชนยังไม่มีกำลังซื้อ แต่ได้ภาครัฐเป็นพระเอกที่ออกมาขับเคลื่อน ผ่านการใช้งบประมาณจาก พ.ร.ก.กู้เงิน 1 ล้านล้านบาท ซึ่งยังมีเงินเหลืออยู่จำนวนมาก ปี 2562 เบิกจ่ายเพียง 40% ยังมีเงินเหลือใช้ต่อปีนี้ อย่างไรก็ดี แม้อยู่ในภาวะเช่นนี้ มีบางธุรกิจที่เริ่มฟื้นตัวแล้ว เมื่อเทียบกับเดือน ธ.ค.63 มีธุรกิจฟื้นเพิ่มขึ้น เช่น รถยนต์ อิเล็กทรอนิกส์ อาหาร และธุรกิจที่เกี่ยวเนื่องกับการส่งออกมีแนวโน้มดีขึ้น แต่ยังเป็นห่วงเรื่องเอสเอ็มอี ที่มีสายป่านน้อย อาจอยู่ไม่ถึงสิ้นปี 2565 โดยความไม่เท่าเทียมอาจเพิ่มขึ้น ซึ่งก.ล.ต.ก็ควรให้ความสำคัญกลุ่มดังกล่าว