ใช้กลยุทธ์ Selective Buy ในช่วงตลาดไร้ทิศทาง

คอลัมน์ เติมความคิดพิชิตการลงทุน

เอกภาวิน สุนทราภิชาติ
บล.ไทยพาณิชย์

สวัสดีครับท่านผู้อ่าน ดูเหมือน SET ยังเคลื่อนไหวออกด้านข้างระหว่างกรอบ 1,500-1,550 จุด โดยปัจจัยที่เคยกดดันก่อนหน้านี้ที่มาจากแรงขายของนักลงทุนต่างชาติลดลง หลังจากที่ดอลลาร์สหรัฐกลับมาอ่อนค่าทำให้ SET ฟื้นตัวได้บ้าง อย่างไรก็ตาม ตลาดดูเหมือนขาดปัจจัยหนุนที่ชัดเจน และรอการออกมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจของสหรัฐ

ซึ่งจากการประเมินของ SCBS ที่คาดการณ์ปริมาณเงินของมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจของสหรัฐ แบ่งออกเป็น 3 กรณี ได้แก่

กรณี 1 (worst case) วงเงิน 6 แสนล้านเหรียญ คาดว่าตลาดจะเกิดการปรับฐานประมาณ 5-7% ทำให้ด้านกลยุทธ์ แนะนำเปลี่ยนการลงทุนมาสู่กลุ่มปันผลสูง และหุ้นเชิงรับอย่างโรงไฟฟ้า

กรณี 2 (base case) วงเงิน 1.0-1.2 ล้านล้านเหรียญ คาดตลาดจะตอบสนองเชิงบวก ตามความหวังการฟื้นตัวของเศรษฐกิจ ดังนั้นหุ้นกลุ่มวัฏจักรจะโดดเด่น ซึ่งแนะนำกลุ่มพลังงาน และพวกกลุ่มอุปโภคบริโภค

กรณี 3 (best case) วงเงิน 1.9 ล้านล้านเหรียญ คาดตลาดจะตอบสนองเชิงบวกปรับขึ้นในระดับ 2-3% แนะนำหุ้นในกลุ่มธนาคาร และพลังงาน

ด้านความเป็นไปได้คาดว่าเม็ดเงินของมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจของสหรัฐจะอยู่ที่ประมาณ 1.0-1.9 ล้านล้านเหรียญถึงแม้ว่าเป็นปัจจัยหนุนต่อตลาด

อย่างไรก็ตาม เหมือนว่าการปรับตัวขึ้นของตลาดได้สะท้อนปัจจัยบวกเหล่านี้เอาไว้พอสมควรแล้ว ทำให้มองกรอบบนถูกจำกัดบริเวณ 1,540-1,550 จุด รวมถึงมองว่าตลาดหุ้นไทยอิ่มตัวในเชิง fundamental โดยหุ้นรายตัวส่วนใหญ่มี valuation ตึงตัว ทำให้มองว่าเป็นไปได้ยากที่ SET จะทำ new highs หาก fund flow ไม่ได้พลิกกลับมาไหลเข้าจำนวนมาก

แต่อย่างไรก็ดี ปัจจัยบวกจากวัคซีนจะหนุนให้ SET มี downside จำกัดเช่นกัน จากความหวังว่าเศรษฐกิจจะฟื้นตัว

ด้านกลยุทธ์การลงทุน สำหรับพอร์ตลงทุนหลัก ความอิ่มตัวของตลาดหุ้นไทยและหุ้นรายตัว เป็นเหตุผลที่ทำให้ยังไม่น่า bullish ตลาดหุ้นไทย และยังแนะนำให้รอสัญญาเข้าซื้อรอบใหม่ (รอ SET พักฐานอีกครั้ง หรือรอซื้อแถว 1,500 จุดลงไป)

ส่วนการเข้าตลาดช่วงนี้ซึ่งดูไร้ทิศทาง หรือเป็นการเคลื่อนไหวออกด้านข้าง ให้ใช้การเก็งกำไร โดยใช้กลยุทธ์ selective ในธีมที่มีปัจจัยเฉพาะ ได้แก่

1) ธีม global play ได้แก่ EA, PTTEP, PTT, TOP ซึ่งคาดได้รับแรงหนุนจากความคืบหน้าของมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจสหรัฐ

2) ธีม cyclical กลุ่มบริการที่ราคา laggard และ/หรือ ยังมี upside ได้แก่ ธนาคาร (BBL), ค้าปลีก (CPALL, BJC), การแพทย์ (BDMS, BCH), ท่องเที่ยว (MINT, CENTEL)

3) ธีม earning play ซึ่งคาดกำไรเติบโตดี YOY ได้แก่ SCGP, CPF, TNP, SPALI, EPG, SCCC ส่วนหุ้นเกาะกระแสกัญชง เน้นโรงสกัด ได้แก่ RBF, DOD ซึ่งให้เก็งกำไรด้วยความระมัดระวัง และกำหนดจุด stop loss เพื่อป้องกันความเสี่ยง

ทั้งนี้ ในกลุ่มหุ้น 3 ธีมหลักที่แนะนำข้างต้น ผมเลือกมาเป็น 5 หุ้นที่อยากแนะนำ ได้แก่

1) PTT คาดกำไร 4Q63 เพิ่มขึ้น QOQ ตามอุปสงค์ที่ฟื้นตัวอย่างต่อเนื่อง นอกจากนี้ก็จะไม่มีการหยุดซ่อมบํารุง GSP ซึ่งจะช่วยสนับสนุนธุรกิจก๊าซของบริษัท

2) SCGP กำไร 4Q63 ดีกว่า คาดเพราะ margin ดีขึ้น ส่วน 1Q64 คาดกำไรปกติเพิ่มขึ้น YOY และ QOQ จากส่วนแบ่งกำไรโครงการ M&P ใหม่ ๆ และจากปัจจัยฤดูกาล

3) SPALI คาดว่ากำไร 4Q63 จะทำจุดสูงสุดของปี และกำไรสุทธิปี’64 คาดเติบโตสูงสุดเมื่อเทียบกับบริษัทอื่น ๆ ในกลุ่ม ทั้งยังมี backlog แข็งแกร่ง หนุนให้มี secured revenue ปี’65 เพิ่มเป็น 59%

4) CPALL คาดว่ากําไร 4Q63 จะอยู่ในระดับทรงตัว QOQ แต่จะฟื้นตัวดีขึ้น จากมาตรการภาครัฐที่ได้ประโยชน์ทางอ้อม ช่วยเพิ่มกำลังซื้อผู้บริโภค และยังได้ปัจจัยหนุนระยะยาวจากการซื้อกิจการ Tesco

5) RBF Consensus คาดกำไร 4Q63 โต YOY จากอัตรา margin ที่ดีขึ้นและต้นทุนค่าใช้จ่ายลดลง ทั้งยังได้ประโยชน์จากการที่ อย.อนุญาตให้ใช้กัญชงในเชิงพาณิชย์ได้…

แล้วพบกันใหม่ในคอลัมน์ฉบับหน้าครับ ด้วยรัก และหวังดี