“ไทยพาณิชย์” โหมธุรกิจเวลท์ หวังโกยค่าธรรมเนียมพุ่ง 20%

แบงก์ปิดสาขา มากสุดไทยพาณิชย์

“ไทยพาณิชย์” ยกธุรกิจเวลท์เป็น “new S-curve” ล่าสุดปั้นรายได้ค่าธรรมเนียมให้แบงก์สัดส่วนเกินครึ่งของค่าฟีรวมแล้ว ปี’64 ปักธงโกยรายได้โตกว่า 20% ตั้งเป้า AUM กลุ่มไพรเวตแบงกิ้ง 3 ปี แตะ 1 ล้านล้านบาท ชู 3 กลยุทธ์ปั้นผลตอบแทนพอร์ตเศรษฐี โชว์ผลงานปี’63 สร้างผลตอบแทนได้เกือบ 15%

นายสารัชต์ รัตนาภรณ์ ผู้จัดการใหญ่ธนาคารไทยพาณิชย์ (SCB) เปิดเผยว่า ปัจจุบันธุรกิจบริหารความมั่งคั่ง (wealth management) ถือเป็น new S-curve ใหม่ของธนาคาร เนื่องจากสามารถสร้างรายได้และผลกำไรอย่างต่อเนื่อง

โดยมีสัดส่วนรายได้ค่าธรรมเนียม (ฟี) เพิ่มขึ้นทุกปี ล่าสุดในปี 2563 สัดส่วนรายได้อยู่ที่ 56% ของรายได้ค่าฟีทั้งหมด จากเดิม31% เฉลี่ยปีละ 4 หมื่นล้านบาท และยังมีแนวโน้มจะเพิ่มขึ้นต่อเนื่อง

โดยในปี 2564 แบงก์ตั้งเป้ารายได้ค่าฟีจากธุรกิจเวลท์เติบโตกว่า 20% ใกล้เคียงกับธุรกิจประกัน สอดคล้องกับภาพรวมความมั่งคั่งทั่วโลกที่มีอัตราการเติบโตปีละ 7% และ 5% ในประเทศไทย

ซึ่งถือเป็นโอกาสในการเติบโต ประกอบกับธนาคารมีฐานลูกค้าบุคคลกว่า 16 ล้านคน และมีฐานเงินฝากติดอันดับ 1 ใน 3 ของประเทศ ทำให้ธนาคารสามารถต่อยอด และสามารถช่วยวางแผนการเงินให้กับลูกค้าได้เต็มรูปแบบและครบวงจร

นอกจากนี้ ธนาคารตั้งเป้าการเติบโตสินทรัพย์ภายใต้บริหารการจัดการ (AUM) อยู่ที่ 10-12% จากปัจจุบันอยู่ที่ 2 ล้านล้านบาท คิดเป็นส่วนแบ่งตลาด (มาร์เก็ตแชร์) 12% จากภาพรวมตลาดที่มีอยู่ราว 11 ล้านบาท

โดยมีฐานลูกค้ารวมทั้งสิ้น 3.4 แสนราย ขณะที่ลูกค้า private banking ที่มีสินทรัพย์เงินฝากและการลงทุน มากกว่า 50 ล้านบาท ปัจจุบันมี AUM อยู่ที่ 8.5 แสนล้านบาท ถือว่าเป็นอันดับ 1 เท่ากับคู่เทียบ คาดว่าใน 3 ปีข้างหน้า (ปี 2564-2566) AUM จะเพิ่มเป็น 1 ล้านล้านบาท

“ธุรกิจเวลท์นับเป็นหนึ่งในยุทธศาสตร์องค์กรที่สร้างการเติบโตให้กับธนาคารอย่างยั่งยืนทดแทนธุรกิจเดิม และเป็นหนึ่งในกลยุทธ์หลักของธนาคาร นับแต่ธนาคารได้ปรับโครงสร้างแบบ up side down เพราะเป็นธุรกิจที่ไม่มีความเสี่ยง ไม่ใช่เงินทุน และไม่มีหนี้เสีย เมื่อเทียบกับการปล่อยสินเชื่อ แม้ว่ารายได้ค่าฟีจะน้อยกว่าส่วนต่างอัตราดอกเบี้ย (NIM)”

นายณรงค์ ศรีจักรินทร์ รองผู้จัดการใหญ่อาวุโส ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร กลุ่มธุรกิจ Wealth ธนาคารไทยพาณิชย์กล่าวว่า ตอนนี้ SCB wealth มีฐานลูกค้า 3.4 แสนราย แบ่งเป็น 3 กลุ่มหลัก

ได้แก่ “SCB PRIME” ที่มีสินทรัพย์ 2-10 ล้านบาท มีราวลูกค้า 2.5 แสนราย, “SCB FIRST” ที่มีสินทรัพย์ 10-50 ล้านบาท ราว 8 หมื่นราย และ “SCB PRIVATE BANKING” ที่มีสินทรัพย์ 50 ล้านบาทขึ้นไป 1.1 หมื่นราย โดยมี AUM รวมอยู่ที่ 2 ล้านล้านบาท คิดเป็นมาร์เก็ตแชร์ 12%

นางสาวเมธินี จงสฤษดิ์หวัง รองผู้จัดการใหญ่ ผู้บริหารสายงาน Private Banking ธนาคารไทยพาณิชย์กล่าวว่า ปีนี้จะยึด 3 กลยุทธ์แกนหลัก ได้แก่ 1.investment solutions for wealth preservation

วางแผนต่อยอดความมั่งคั่งส่วนบุคคลให้กับลูกค้าด้วยทีมที่ปรึกษาด้านการเงินการลงทุนส่วนบุคคลระดับมืออาชีพ จัดพอร์ตการลงทุนให้ปรับเปลี่ยนตามสถานการณ์อย่างทันท่วงที และ 2.business solutions for wealth creation บริการที่ปรึกษาด้านธุรกิจอย่างครอบคลุมรอบด้าน

และ 3.SCB Financial Business Group ผสานความแข็งแกร่งของกลุ่มไทยพาณิชย์ที่ครบเครื่องทั้งด้านความรู้และความชำนาญเพื่อเปิดกว้างด้านการลงทุน ครอบคลุมเรื่องธุรกิจ

“ทั้งหมดนี้จะช่วยผลักดันให้ภายในสิ้นปี 2566 มี AUM แตะที่ระดับ 1 ล้านล้านบาทได้ และสร้างผลตอบแทนจากการลงทุนได้สูงสุด เหมาะกับความเสี่ยงของลูกค้า ซึ่งในปีที่ผ่านมาสามารถสร้างผลตอบแทนให้ลูกค้าได้ 14.9%”