ความหวังนักท่องเที่ยวต่างชาติ เที่ยวไทยน่าจะเป็นตัวขับเคลื่ อนเส้นทางการฟื้นตัวของเศรษฐกิ จไทยอีกปัจจัยหนึ่งต่อจากนี้ หลังภาพเศรษฐกิจไทยดูเหมือนจะผ่ านจุดต่ำสุดมาแล้ว หลังต้องเผชิญผลกระทบโควิดระลอก 2 โดยล่าสุด “ศูนย์วิจัยกสิกรไทย” ได้ติดตามอัตราการฉีดวัคซี นของตลาดสำคัญ 10 แห่งที่มีผลต่อการท่องเที่ยวไทย จึงประมาณการปีนี้นักท่องเที่ยวต่างชาติจะเดินทางเข้าไทยได้ราว 2 ล้านคน ซึ่งตัวแปรหลักอยู่ที่ “นักท่องเที่ยวจีน“
โดยล่าสุดวานนี้ความคืบหน้าวัคซีนพาสปอร์ต(Vaccine Passport) โดยคณะกรรมการโรคติดต่อแห่งชาติเห็นชอบหลักการทำ Vaccine Passport สำหรับผู้ที่ฉีดวัคซีนต้านไวรัสโควิด-19 ครบโดส ให้ลดวันกักตัวเหลือ 7 วัน ส่วนผู้ที่ไม่มี Vaccine Passport แต่มีผลตรวจโควิด-19 ยืนยัน 72 ชั่วโมง ก่อนเดินทางเป็นลบให้ลดวันกักตัวเหลือ 10 วัน
ยกเว้นผู้ที่เดินทางมาจากทวีปแอฟริกายังคงต้องกักตัว 14 วันเช่นเดิม คาดจะเริ่มดำเนินการได้ตั้งแต่เดือน เม.ย. 64 เป็นต้นไป และระยะถัดไปตั้งแต่วันที่ 1 ต.ค. 64 หากสามารถฉีดวัคซีนให้บุคลากรทางการแพทย์เกิน 70% และประชาชนที่ทำงานเกี่ยวกับการท่องเที่ยวได้รับวัคซีนเพียงพอแล้ว บางพื้นที่อาจผ่อนคลายไม่ต้องกักตัว คาดหนุนหุ้นกลุ่มท่องเที่ยวให้กลับมาฟื้นตัวได้ แต่ทั้งนี้ยังต้องรอดูการกระจายวัคซีนของไทยว่าจะทำได้รวดเร็วหรือไม่ก่อนทำการจับคู่
คาดต่างชาติเที่ยวไทย 2 ล้านคน จับตานโยบายรัฐบาลจีน
นางสาวเกวลิน หวังพิชญสุข ผู้ช่วยกรรมการผู้จัดการ บริษัท ศูนย์วิจัยกสิกรไทย จำกัด เปิดเผยว่า ในปีนี้เส้นทางการฟื้นตั วของเศรษฐกิจไทย ตัวแปรหลักคือการเปิดรับนักท่ องเที่ยว ซึ่งจะขึ้นอยู่กับการกระจายวั คซีนโควิดและนโยบายของแต่ ละประเทศที่มีผลอย่างมากต่ อการฟื้นตัวของตลาดท่องเที่ ยวไทย ซึ่งจากการติดตามอัตราการฉีดวั คซีนของตลาดสำคัญ 10 แห่งที่มีการฉัดวัคซีนให้ ประชากรในประเทศ พบว่า ประเทศจีนได้ฉีดวัคซีนไปแล้ว 21% ยุโรป 43% สหรัฐ 85% รัสเซีย 20% สิงคโปร์ 60% เกาหลีใต้ 25% ฮ่องกง 24% ญี่ปุ่น 10% มาเลเซีย 7% และเวียดนาม 3%
“ซึ่งตัวแปรสำคัญจะอยู่ที่ นโยบายรัฐบาลจีนว่าจะอนุญาตให้ นักท่องเที่ยวจีนเดินทางมาเมื องไทยหรือไม่ และนโยบายการลดวันกักตัว รวมไปถึงความคืบหน้าวัคซี นพาสปอร์ต”
ปัจจัยเหล่านี้จะเป็นตั วกำหนดเส้นทางการฟื้นตั วของเศรษฐกิจไทย โดยเฉพาะช่วงไตรมาส 4/64 ซึ่งเป็นฤดูกาลท่องเที่ ยวของไทย(ไฮซีซั่น) โดยภายใต้สมมุติฐานที่นโยบายเปิ ดรับนักท่องเที่ยวเป็ นไปตามแผนของภาครัฐและมีความชั ดเจนเกี่ยวกับวัคซีนพาสปอร์ ตมากขึ้น มีข้อจำกัดการเดินทางระหว่ างประเทศน้อยลง ประเมินว่าจำนวนนักท่องเที่ยวต่ างชาติเที่ยวไทยในปี 64 จะอยู่ที่ 2 ล้านคน เฉพาะไตรมาส 4/64 เข้ามาได้ราว 1.9 ล้านคน ซึ่งมีความเป็นไปได้ที่จะสูงขึ้ นหากแต่ละประเทศมีการฉีดวัคซี นในอัตราเร่งตัวขึ้น เช่น จาก 2 โดสเหลือ 1 โดส เป็นต้น แต่ก็จะมีดาวน์ไซต์เพราะคนที่ฉี ดวัคซีนอาจจะไม่ใช่กลุ่มที่ จะเดินทางท่องเที่ยว เช่น แพทย์, ผู้ที่มีความเสี่ยงสูง, ผู้สูงอายุ เป็นต้น
อย่างไรก็ดี เพื่อสร้างความเชื่อมั่นต่อนั กท่องเที่ยวที่จะเดินทางเข้าไทย มองว่าผู้ประกอบการภาคท่องเที่ ยวจำเป็นต้องได้รับการฉีดวัคซี นด้วยเช่นกัน หากประเมินจากการจ้างงานในธุรกิ จโรงแรมในพื้นที่ 20 จังหวัดที่พึ่งพานักท่องเที่ ยวต่างชาติราว 1 แสนคน อาจต้องการวัคซีนอย่างน้อย 2.2 แสนโดส ก่อนเดือน ต.ค.64 ที่นักท่องเที่ยวจะเดินทางเข้ าไทยในฤดูท่องเที่ยว ซึ่งเบื้องต้นรัฐอยู่ระหว่างพิ จารณาและคาดว่าคงเกิดขึ้นได้ หากวัคซีนมาตามแผน โดยเฉพาะลอตวัคซีนของแอสตร้ าเซนเนก้า
“ตัวเลขนักท่องเที่ยวต่างชาติ เที่ยวไทย 2 ล้านคน ถือว่ายังน้อย เพราะฉะนั้นธุรกิจเกี่ยวเนื่ องการท่องเที่ยว ยังจำเป็นต้องพึ่งพาตลาดไทยเที่ ยวไทยไปก่อนในปีนี้” นางสาวเกวลินกล่าว
ปรับกรอบจีดีพีไทยแคบลงเหลือ 0.8-3% สะท้อนเศรษฐกิจผ่านจุดต่ำสุด
นางสาวณัฐพร ตรีรัตน์ศิริกุล ผู้ช่วยกรรมการผู้จัดการ กล่าวต่อว่า ศูนย์วิจัยกสิกรไทยยั งคงประมาณการอัตราการเติ บโตของเศรษฐกิจไทย(จีดีพี) ปี 64 อยู่ที่ 2.6% แต่ได้ปรั บกรอบประมาณการแคบลงจากเดิมที่ 0.0-4.5% มาที่ 0.8-3% สะท้อนมุมมองการผ่านจุดต่ำสุ ดมาแล้ว โดยหากเกิดการระบาดรอบใหม่เชื่ อว่าจะไม่รุนแรง มาตรการควบคุมจะเป็นเฉพาะจุ ดมากขึ้น เพราะฉะนั้นผลกระทบต่อเศรษฐกิ จน่าจะเบาบางลง
โดยกรอบล่างเป็นดาวน์ไซต์กรณีนั กท่องเที่ยวต่างชาติเข้าไทยได้ ช้าและไม่ถึง 2 ล้านคน ส่วนกรอบบนมีอัพไซต์กรณีนักท่ องเที่ยวต่างชาติเข้าไทยเกินกว่ า 2 ล้านคน และภาพตัวเลขส่งออกดีกว่ าคาดจากการฟื้นตัวของเศรษฐกิ จโลก โดยกองทุนการเงินระหว่างประเทศ( IMF) ได้ปรับประมาณการจีดีพีโลกปี 64 อยู่ที่ 5.5% และปี 65 อยู่ที่ 4.2% หลักๆ มาจากการฟื้นตัวของเศรษฐกิจในภู มิภาคเอเชีย แต่จีดีพีไทยอาจจะเป็นการฟื้นตั วที่ช้ากว่าประเทศเพื่อนบ้าน รวมถึงราคาน้ำมันที่ปรับตัวสู งขึ้น ซึ่งทางศูนย์วิจัยกสิกรไทยได้ ปรับตัวเลขส่งออกปีนี้โต 4.5% จากเดิมโต 3% (คำนึงถึงการขาดแคลนตู้ คอนเทนเนอร์และค่าเงินบาทไว้แล้ ว) โดยสินค้าส่งออกที่ปรับตัวดีขึ้ น อาทิ สินค้าอิเล็กทรอนิกส์, ชิ้นส่วนรถยนต์, น้ำมัน, ผลไม้สด เป็นต้น
นางสาวณัฐพร กล่าวเพิ่มว่า ประเด็นที่ต้องติดตามที่จะมี ผลต่อทิศทางเศรษฐกิจในระยะถัดไป มีอยู่ 2-3 เรื่องคือ 1.การกระจายวัคซี นในประเทศและแนวทางเปิดรับนักท่ องเที่ยวต่างชาติ ซึ่งตามแผนภาครัฐระยะที่ 2 การกระจายวัคซีนจำนวน 61 ล้านโดส ช่วงเดือน มิ.ย.64 และให้แล้วเสร็จภายในสิ้นปีนี้ หรือเฉลี่ย 10 ล้านโดสต่อเดือน
“น่าจะเริ่มเห็นความชัดเจนช่ วงเปิดไตรมาส 3/64″
2.ราคาน้ำมันดิบในตลาดโลกที่ขยั บตัวเร็ว มองกรอบราคาน้ำมันที่ 50-60 เหรียญต่อบาร์เรล เนื่องจากยังมีปัจจัยเฉพาะ เช่น พายุทำลายความเสียหายแหล่งผลิ ตน้ำมันของสหรัฐ ซึ่งกว่าจะเดินสายกำลังการผลิ ตได้ช่วงครึ่งปีหลังไปแล้ว และประชุม OPEC+ การขยายระยะเวลาปรับลดกำลั งการผลิตไปจนถึงสิ้นเดือน เม.ย.64 และซาอุฯคงปรับลดกำลังการผผลิ ตที่ 10 ล้านบาร์เรลต่อวันเป็นเดือนที่ สาม
ทั้งนี้จากราคามันปรับตัวสูงขึ้ นจะเป็นแรงกดดันเงินเฟ้อที่เพิ่ มขึ้นขยับคาดการณ์ขึ้นมาอยู่ที่ 1.1% จากสิ้นปี 63 อยู่ที่ 0.8% และถ้าราคาพลังงานขยับขึ้นเร็ วท่ามกลางเศรษฐกิจไทยฟื้นตัวช้ าเศรษฐกิจโลกจะเป็นภาระครัวเรื อน แต่เชื่อว่าภายใต้ภาวะกำลังซื้ อที่ยังไม่ฟื้นตัวดี ภาครัฐจะมีมาตรการช่วยบรรเทาค่ าครองชีพไปได้
3.เม็ดเงินสำหรับใช้กระตุ้ นเศรษฐกิจเหลือราว 3.7 แสนล้านบาท ซึ่งคาดว่าจะมีมาตรการฟื้นฟู เศรษฐกิจออกมาอย่างต่อเนื่องเพื่ อประคองการใช้จ่ายในประเทศจนกว่ าจะเริ่มทยอยเปิดรับนักท่องเที่ ยวต่างชาติได้
หนี้เอ็นพีแอลยังน่าห่วง 1-2 ปีข้างหน้า คาดสิ้นปี’64 อยู่ที่ 3.3%
นางสาวธัญญลักษณ์ วัชระชัยสุรพล รองกรรมการผู้จัดการ กล่าวต่อว่า ภาพเศรษฐกิจดูเหมือนเริ่มดีขึ้ นแต่อยู่ภายใต้ความไม่แน่ นอนหลายเรื่อง โดยเฉพาะภาระหนี้ครัวเรือนไทยที่ จะยังค้างอยู่ในระดับสูง โดยประมาณการหนี้ครัวเรือนไทยต่ อจีดีพีสิ้นปี 64 อยู่ที่ 89-91% จากไตรมาส 3/63 อยู่ที่ 86.6% ซึ่งยังเป็นช่วงขาขึ้น โดยถ้าโฟกัสหนี้ที่อยู่ภายใต้ มาตรการให้ความช่วยเหลื อทางการเงิน ปัจจุบันมีอยู่ประมาณ 2.79 ล้านล้านบาท คิดเป็น 19.9% ของหนี้ครัวเรือนทั้งระบบ 14 ล้านล้านบาท แต่เชื่อว่าน่าจะผ่านจุดพี กไปแล้ว แต่จากความไม่แน่นอนที่ยังอยู่ ทำให้มีความจำเป็นในการต่ออายุ มาตรการโดยเฉพาะลูกหนี้กลุ่มที่ อยู่ในวิกฤต
โดยผลสำรวจของศูนย์วิจัยกสิ กรไทยล่าสุดชี้ว่า ครัวเรือนยังกังวลกับสถานการณ์ รายได้ลด ปัญหาค่าครองชีพ และภาระหนี้สูง ประมาณ 10.8% มีภาวะทางการเงินเสี่ยงต่อวิกฤต จึงยังจำเป็นต้องมีการต่ออายุ มาตรการดูแลให้กับครัวเรือนเหล่ านี้ เช่น เงินช่วยเหลือ(สภาพคล่อง), การมีงานทำ, ต่ออายุมาตรการช่วยเหลื อของสถาบันการเงินเพิ่มเติม เช่น ปรับโครงสร้างหนี้ หรือประคองหนี้ต่อไปได้, ให้ความรู้ในการแก้หนี้ ซึ่งมาตรการจะหมดในช่วงเดือน มิ.ย.64 และมองว่ายังจำเป็นต้องต่ออายุ ออกไป เช่นเดียวกับธุรกิจเอสเอ็มอี( SMEs) เพียงแต่มาตรการสามารถทำได้ เฉพาะเจาะจงมากขึ้น ตามพัฒนาการของระยะหนี้ที่ขอรั บความช่วยเหลือทางการเงิ นจากสถาบันการเงิน ที่น่าจะผ่านจุดที่แย่ที่สุ ดมาแล้วเช่นเดียวกับทิ ศทางเศรษฐกิจ
แต่หนี้ที่ไม่ก่อให้เกิดรายได้( NPL) ยังเป็นปัจจัยที่ต้องติดตามอีก 1-2 ปีข้างหน้า โดยมองเอ็นพีแอลปีนี้อยู่ที่ 3.3% จากสิ้นปี 63 อยู่ที่ 3.12% ยังไม่สูง เพราะอยู่ภายใต้มาตรการช่วยเหลื อลูกหนี้ของแบงก์ชาติ