“เมียนมา” เอฟเฟ็กต์หุ้นไทย โบรกคาดปัจจัยลบระยะสั้น

เงินบาท ตลาดหุ้น ปันผล
แฟ้มภาพ

โบรกฯส่องหุ้นเจอผลกระทบจากสถานการณ์การเมืองใน “เมียนมา” ยืดเยื้อ “เอเซีย พลัส” เผย 5 บริษัทมีสัดส่วนรายได้ในเมียนมาเกิน 5% “กสิกรไทย” ให้ระวังลงทุนกลุ่ม “เครื่องดื่ม-อาหารเสริม” กำไร Q1/64 ส่อแย่

นายฐกฤต ชาติเชิดศักดิ์ ผู้ช่วยผู้จัดการฝ่ายวิจัย บริษัทหลักทรัพย์ (บล.) เอเซีย พลัส เปิดเผยว่า จากสถานการณ์การเมืองในประเทศเมียนมาที่ยืดเยื้อ น่าจะทำให้ประเทศมหาอำนาจมีการคว่ำบาตรหรือชะลอการลงทุน โดยคาดว่ากระทบต่อเศรษฐกิจไทยค่อนข้างจำกัด แต่ก็เป็นปัจจัยกดดันต่อราคาหุ้นไทยที่มีฐานการผลิตในเมียนมา ซึ่งฝ่ายวิจัยได้รวบรวมพบว่า บริษัทจดทะเบียนไทย (บจ.) มีรายได้ในเมียนมาเฉลี่ย 1-12%

โดยกลุ่มที่มีรายได้ เงินลงทุน และกำลังการผลิตในเมียนมาเกิน 5% ของรายได้รวม ได้แก่ 1.บมจ.ปตท.สำรวจและผลิตปิโตรเลียม (PTTEP) มีสัดส่วนรายได้ 12% ของรายได้รวม มีสินทรัพย์ที่อยู่ในเมียนมาใน 3 โครงการด้านก๊าซธรรมชาติ ได้แก่ ยาดานา, เยตากุน, M9

2.บมจ.โอสถสภา (OSP) สัดส่วนรายได้ 10% มีโรงงานในเมียนมาในการผลิตเครื่องดื่ม (นิคมติละวา ย่างกุ้ง) มูลค่าลงทุนราว 2.4 พันล้านบาท คิดเป็น9% ของสินทรัพย์

นอกจากนี้ OSP อยู่ระหว่างก่อสร้างโรงงานผลิตขวดแก้วในเมียนมา ใช้งบฯลงทุนราว 1.2 พันล้านบาท คิดเป็น 4.7% ของสินทรัพย์ คาดว่าจะเริ่มเพิ่มปริมาณการผลิต (ramp-up) ในครึ่งหลังปี 2564

ADVERTISMENT

3.บมจ.บำรุงราษฎร์ (BH) สัดส่วนรายได้ 7-8% ส่วนใหญ่มาจากผู้ป่วยที่บินเข้ามา (fly-in) ซึ่งปัจจุบันมารักษาไม่ได้อยู่แล้ว จึงคาดกระทบจำกัด

เช่นเดียวกับ 4.บมจ.โรงพยาบาลพระรามเก้า(PR9) ที่สัดส่วนรายได้ 5-6% และ 5.บมจ.ซีฟโก้ (SEAFCO) มีสัดส่วนรายได้ 5% โดยมีบริษัทลูกทำธุรกิจรับเหมาก่อสร้างและเสาเข็มในเมียนมา

ADVERTISMENT

“ฝ่ายวิจัยประเมินว่า น่าจะกระทบเพียงบรรยากาศการลงทุนในระยะสั้นเท่านั้น และอาจจะไม่ได้มีผลต่อคาดการณ์กำไร บจ.อย่างมีนัยสำคัญ ตามที่ได้สอบถามข้อมูลจากแต่ละ บจ.มา”

นายสรพล วีระเมธีกุล ผู้อำนวยการอาวุโส ฝ่ายวิเคราะห์หลักทรัพย์ บล.กสิกรไทย กล่าวว่า ปัจจุบันมีราว 15 บจ.ที่มีสัดส่วนรายได้จากเมียนมา โดย PTTEP มีรายได้มากสุด ซึ่งเป็นธุรกิจก๊าซ ซึ่งมีผลกระทบจำกัด และ บมจ.เมก้า ไลฟ์ไซแอ็นซ์ (MEGA) สัดส่วนรายได้ 35%

ทั้งนี้ ธุรกิจที่ต้องระวังการลงทุนคือ กลุ่มเครื่องดื่มและอาหารเสริม อาทิ OSP และ บมจ.คาราบาวกรุ๊ป (CBG) ที่มีสัดส่วนรายได้ 10% เพราะแม้ว่าพรมแดนจะเปิดได้ แต่ต้องพิจารณาว่าสินค้าที่ส่งออกไปจะล่าช้าหรือไม่

หรืออาจถูกผลกระทบเชิงลบจากการบริโภคของประชาชนที่ลดลง รวมไปถึงธุรกิจโรงพยาบาล เช่น บมจ.ธนบุรี เฮลท์แคร์ กรุ๊ป (THG) ซึ่งมีสัดส่วนรายได้ในเมียนมาอยู่กว่า 17% ส่วนธุรกิจอื่น ๆ ได้รับผลกระทบน้อย เพราะสัดส่วนรายได้ต่ำกว่า 2%

“ปัจจุบันราคาหุ้นเหล่านี้ หลายตัวเริ่มปรับลง จากความกังวลที่ยืดเยื้อ ดังนั้น นักลงทุนอาจต้องรอดูงบการเงินไตรมาส 1/64 ก่อนว่าออกมาเป็นอย่างไรเบื้องต้นประเมินว่ากำไรหุ้นเหล่านี้อาจจะออกมาแย่กว่าที่คาดได้” นายสรพลกล่าว