“ทีเอ็มบี” เผยผลประกอบการไตรมาส 2 ปี 2560

“ทีเอ็มบี” มีกำไรจากการดำเนินงานก่อนสำรองเติบโตต่อเนื่องที่ 10% จากสินเชื่อและค่าธรรมเนียมที่ขยายตัว สัดส่วน NPL เพิ่มขึ้นเล็กน้อยเป็น 2.56% ขณะสัดส่วนสำรองต่อ NPL ยังอยู่ระดับสูงที่ 140% กำไรสุทธิโต 4%

ทีเอ็มบี หรือ ธนาคารทหารไทย จำกัด (มหาชน) แจ้งผลประกอบการไตรมาส 2 และงวด 6 เดือน ปี 2560 โดยธนาคารและบริษัทย่อยมีกำไรจากการดำเนินงานหลักก่อนสำรองฯ จำนวน 9,899 ล้านบาทสำหรับ 6 เดือนแรกของปี ซึ่งเพิ่มขึ้น 10% เมื่อเทียบกับช่วงเวลาเดียวกันปีที่แล้ว (YoY) ธนาคารยังดำเนินธุรกิจอย่างรอบคอบและคงตั้งสำรองฯที่ระดับค่อนข้างสูงเป็นจำนวน 4,523 ล้านบาท ซึ่งเพิ่มขึ้น 17% ขณะที่สัดส่วน NPL เพิ่มขึ้นเล็กน้อยมาที่ 2.56% และสัดส่วนสำรองสินเชื่อด้อยคุณภาพ (coverage ratio) ยังอยู่ในระดับสูงที่ 140% ทั้งนี้ หลังสำรอง ธนาคารฯ มีกำไรสุทธิที่ 4,426 ล้านบาทสำหรับ 6 เดือน เพิ่มขึ้น 4% YoY

นายบุญทักษ์ หวังเจริญ ประธานเจ้าหน้าที่บริหารทีเอ็มบี กล่าวว่า “ใน 6 เดือนแรกของปีนี้ สินเชื่อเติบโตได้ 3.9% แม้สินเชื่อธุรกิจ SME ยังหดตัวอยู่ โดยการขยายตัวมาจากสินเชื่อเพื่อที่อยู่อาศัยซึ่งเติบโตต่อเนื่อง อีกทั้งสินเชื่อธุรกิจขนาดใหญ่ สะท้อนให้เห็นแนวโน้มการฟื้นตัวสินเชื่อมากขึ้น ด้านเงินฝากขยายตัว 2.4% จากไตรมาสที่แล้ว ทำให้ยอดรวมเงินฝากใน 6 เดือนแรกทรงตัว อย่างไรก็ตามเงินฝากลูกค้าบุคคลเพิ่มขึ้นต่อเนื่องที่ 3.6% จากเงินฝากธุรกรรมทางการเงิน (Transactional deposit) ที่ยังสามารถขยายฐานลูกค้าได้ โดยเฉพาะเงินฝากบัญชี “ทีเอ็มบี ออลล์ ฟรี” (TMB All Free) ยังเติบโตได้ดีโดยเพิ่มขึ้น 26% ในช่วง 6 เดือนแรกของปีนี้ อีกทั้งเงินฝาก No-fixed และ ME ยังคงเติบโตต่อเนื่องที่ 10% และ 8% ตามลำดับในช่วงเวลาเดียวกัน”

รายได้ดอกเบี้ยสุทธิในงวด 6 เดือน เพิ่มขึ้น 2% จากเวลาเดียวกันปีที่แล้ว สอดคล้องกับทิศทางสินเชื่อที่ขยายตัว โดยส่วนต่างดอกเบี้ยสุทธิ (Net interest margin) ปรับตัวดีขึ้นจาก 3.06% ในปีที่แล้วมาอยู่ที่ 3.2% สำหรับรายได้ที่มิใช่ดอกเบี้ยขยายตัว 26% แม้ว่ารายได้ค่าธรรมเนียมลูกค้าธุรกิจลดลง 23% แต่รายได้ค่าธรรมเนียมจากลูกค้าบุคคลเพิ่มขึ้นถึง 55% โดยเฉพาะค่าธรรมเนียมผลิตภัณฑ์กองทุนรวมที่เพิ่มขึ้น 98% และผลิตภัณฑ์แบงก์แอสชัวรันส์ ที่ขยายตัวได้ 68% ซึ่งมาจากการเพิ่มขึ้นของรายได้ค่าธรรมเนียมการขายแบงก์แอสชัวรันส์และค่าธรรมเนียมการเข้าถึงช่องทางการให้บริการของธนาคาร (Access fee) ซึ่งได้รับจากการต่อสัญญาความร่วมมือการเสนอขายกรมธรรม์ประกันชีวิตผ่านธนาคาร (Bancassurance) ระหว่างธนาคาร และ บริษัท เอฟดับบลิวดี ประกันชีวิต จำกัด (มหาชน)

รายได้รวมของธนาคารในงวด 6 เดือน อยู่ที่ 18,405 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 9% ขณะที่ค่าใช้จ่ายทั้งหมดมีจำนวน 8,469 ล้านบาท หรือเพิ่มขึ้น 7% ทำให้มีกำไรจากการดำเนินงานหลักก่อนสำรองเพิ่มขึ้น 10% เป็นจำนวน 9,899 ล้านบาท

ทั้งนี้ในไตรมาส 2 ธนาคารมีกำไรจากการดำเนินงานหลักก่อนสำรองฯ เพิ่มขึ้น 8% จากไตรมาสที่แล้ว (QoQ) เป็นจำนวน 5,135 ล้านบาท

แม้สินเชื่อด้อยคุณภาพ (NPL) มีจำนวนเพิ่มขึ้นเล็กน้อย 603 ล้านบาทจากสิ้นปีมาอยู่ที่ 18,208 ล้านบาท ซึ่งทำให้ NPL ratio ขยับสูงขึ้นเล็กน้อยจาก 2.53% มาที่ 2.56% ธนาคารยังคงให้ความสำคัญในการดำเนินธุรกิจอย่างรอบคอบและตั้งสำรองจำนวน 4,523 ล้านบาทในงวด 6 เดือนแรก หรือเป็นจำนวน 2,282 ล้านบาทในไตรมาส 2 ซึ่งเพิ่มขึ้น 17% YoY และ 2 % QoQ ตามลำดับ เพื่อให้ธนาคารยังคงสัดส่วนสำรองฯ ต่อสินเชื่อด้อยคุณภาพ (Coverage ratio) ในระดับสูงที่ 140% โดยหลังตั้งสำรองฯ ธนาคารมีกำไรสุทธิ 4,426 ล้านบาทในงวด 6 เดือน และจำนวน 2,330 ล้านบาท ในไตรมาส 2 ซึ่งเพิ่มขึ้น 4% YoY และ 11% QoQ ตามลำดับ

ขณะเดียวกัน ธนาคารยังคงดำรงสถานะเงินกองทุนในระดับสูง โดยมีอัตราส่วนเงินกองทุนรวม (CAR) ภายใต้เกณฑ์ Basel III ที่อัตรา 16.5% โดยเป็นกองทุนชั้นที่ 1 (Tier 1) ในสัดส่วน 12.3% ซึ่งสูงกว่าเกณฑ์ขั้นต่ำของธนาคารแห่งประเทศไทยซึ่งกำหนดไว้ที่ 9.75% และ 7.25% ตามลำดับ


นายบุญทักษ์สรุปว่า “ผลการดำเนินงานของธนาคารยังปรับตัวดีขึ้น จากความพยายามในการพัฒนาผลิตภัณฑ์และบริการทางการเงินที่ตอบสนองความต้องการของลูกค้าอย่างแท้จริงภายใต้แนวทาง“Need-Based Bank” กับ “Simple & Easy” อีกทั้ง ธนาคารเน้นการขยายตัวทางธุรกิจอย่างรอบคอบ และรักษาคุณภาพสินทรัพย์และสัดส่วนสำรองต่อสินเชื่อด้อยคุณภาพให้อยู่ในระดับแข็งแกร่งอย่างต่อเนื่อง”