คาดกำไร บจ.ปีนี้ 7 แสนล้านบาท โควิดรอบ 3 กระทบระยะสั้นไม่เกิน 2 เดือน

แจกเงิน

ไม่ยั่นโควิดระลอกใหม่ โบรกฯคาดกำไร บจ.ปีนี้ยืนเหนือ 7 แสนล้านบาท แรงส่งกลุ่ม “พลังงาน-ปิโตรฯ-รับเหมาก่อสร้าง” ฟื้นแบบเร่งตัว อานิสงส์ฐานต่ำ-ราคาน้ำมันดิบปรับตัวขึ้น “เอเซีย พลัส” ชี้โควิดระลอกใหม่กระทบตลาดหุ้นไม่มาก ลุ้นความคืบหน้าวัคซีน “ฟินันเซีย ไซรัส” มองเป้าดัชนีตลาดหุ้นไทยสิ้นปี 1,600 จุด

นายชาญชัย พันทาธนากิจ ผู้จัดการฝ่ายกลยุทธ์การลงทุน บริษัทหลักทรัพย์ (บล.) เอเซีย พลัส จำกัด เปิดเผย “ประชาชาติธุรกิจ” ว่า คาดการณ์กำไรบริษัทจดทะเบียนไทย (บจ.) ในปี 2564 จะอยู่ที่ 7.96 แสนล้านบาท เติบโต 32% เทียบช่วงเดียวกันปีก่อน คิดเป็นกำไรต่อหุ้น (EPS) ที่ 70.2 บาท คำนวณจากบริษัทจดทะเบียนที่ดูแล 170 บริษัท คิดเป็นสัดส่วนกว่า 80% ของมาร์เก็ตแคปรวมทั้งตลาด

โดยคาดว่ากลุ่มที่จะมีกำไรเติบโตดีเป็นเซ็กเตอร์ในกลุ่มหุ้นวัฏจักร ตามการฟื้นตัวของเศรษฐกิจ ไม่ว่าจะเป็นหุ้นกลุ่มพลังงานที่คาดว่าจะมีกำไรเติบโต 83.4% หุ้นกลุ่มปิโตรเคมี จะโต 675% หุ้นกลุ่มธนาคารพาณิชย์ จะมีกำไรโต 17.5% หุ้นกลุ่มค้าปลีก จะเติบโต 38.5% และกลุ่มรับเหมาก่อสร้าง จะเติบโต 592%

สำหรับหุ้นกลุ่มพลังงาน ปิโตรเคมี และรับเหมาก่อสร้าง ที่กำไรเติบโตได้ในระดับ 100% เนื่องจากปีที่แล้วฐานต่ำและขาดทุนสต๊อก เนื่องจากได้รับผลกระทบจากการระบาดโควิด-19 แต่ในปีนี้ไม่มี จึงจะมีการเติบโตแบบเร่งตัว ประกอบกับได้ปัจจัยบวกตามทิศทางราคาน้ำมันดิบที่ปรับเพิ่มขึ้น ขณะที่หุ้นกลุ่มอื่นเติบโตล้อไปกับวงจรเศรษฐกิจที่คาดว่าตัวเลขจีดีพีจะกลับมาเติบโตได้

โควิดระลอก 3 เสี่ยงกดดันกำไร

อย่างไรก็ตาม ความเสี่ยงที่จะมากดดันประมาณการกำไร บจ.ล่าสุด คือ สถานการณ์การระบาดโควิดระลอก 3 ภายในประเทศ หากคุมไม่อยู่และบานปลายจนมีมาตรการล็อกดาวน์ที่เข้มงวดก็จะกระทบต่อกำไรได้ แต่มองว่าการปรับฐานของดัชนีหุ้นไทยในครั้งนี้ว่า ไม่น่าปรับลงหนักเหมือนช่วงที่มีการระบาดที่ จ.สมุทรสาคร ซึ่งดัชนีหุ้นไทยปรับตัวลงไป 6.4%

เพราะปัจจุบันมีความคืบหน้าเรื่องวัคซีน โดยในเดือน เม.ย.มีการนำเข้าวัคซีนซิโนแวก 1 ล้านโดส และภายใน มิ.ย.จะนำเข้าวัคซีนแอสตร้าเซนเนก้าอีก 6 ล้านโดส หากมีความคืบหน้าต่อเนื่องก็จะดึงความเชื่อมั่นนักลงทุนได้

นายชาญชัยกล่าวต่อว่า แม้ยอดผู้ติดเชื้อโควิดในประเทศจะทำสถิติใหม่หลักพันราย แต่ในเบื้องต้นยังไม่ได้เห็นการปรับประมาณการลง เพราะถ้ามองจากไตรมาส 2/ 2563 มีมาตรการล็อกดาวน์เข้มงวดกว่า ซึ่งเซ็กเตอร์ที่ไดเรับผลกระทบพลิกจากกำไรเป็นขาดทุนมี 4 เซ็กเตอร์

คือ มีเดีย, ท่องเที่ยวโรงแรม, ยานยนต์ และขนส่งทางอากาศ ซึ่งคิดเป็นสัดส่วนกำไรแค่ 4% ของกำไรทั้งตลาด ถือว่าค่อนข้างน้อยถ้าเทียบเซ็กเตอร์ใหญ่อย่างกลุ่มพลังงานและปิโตรเคมี ซึ่งมีสัดส่วนกำไรประมาณ 30% ของตลาด

หากมองราคาสินค้าโภคภัณฑ์ อย่างราคาน้ำมันดิบ ตั้งแต่ต้นปีปรับขึ้นมา 30% ทำให้ค่าเฉลี่ยราคาน้ำมันดิบดูไบเกือบ 60 เหรียญต่อบาร์เรล สูงกว่าสมมุติฐานที่ทำไว้ 50 เหรียญ โดยจากการประเมินราคาน้ำมันทุก 5 เหรียญที่เพิ่มขึ้นมาจากสมมุติฐาน จะหนุนกำไรหรือสร้างอัพไซด์ส่วนเพิ่มต่อกำไรบริษัทจดทะเบียนประมาณ 10,000 ล้านบาท

“การระบาดโควิดมีความเสี่ยงที่จะกระทบกำไรได้ แต่เชื่อว่าโดยรวมยังประมาณการไว้ระดับเดิม”

“พลังงาน-ปิโตรเคมี-ไฟฟ้า” ฟื้น

ด้านนายวีระวัฒน์ วิโรจน์โภคา ผู้อำนวยการฝ่ายวิเคราะห์หลักทรัพย์ บล.ฟินันเซีย ไซรัส จำกัด กล่าวว่า ปีนี้เซ็กเตอร์หุ้นฟื้นตัวเด่นจะเป็นกลุ่มที่โดนผลกระทบจากโควิดรุนแรงเมื่อปีที่แล้วคือ กลุ่มพลังงาน ปิโตรเคมี และโรงไฟฟ้า คาดว่าจะกลับมาบวกหลังปีก่อนขาดทุนเกือบหมด

โดยกำไรกลุ่มพลังงานจะฟื้นจากระดับ 5 หมื่นล้านบาท มาเป็น 1.8 แสนล้านบาท หรือโตกว่า 250% ขณะที่กำไรกลุ่มปิโตรเคมี จะเติบโต 150% และกลุ่มโรงไฟฟ้า เติบโต 50%

ส่วนกำไรกลุ่มธนาคารพาณิชย์จะพลิกกลับมาบวกโต 16% ขณะที่ผลประกอบการกลุ่มท่องเที่ยวจะขาดทุนลดลง แต่ไม่ถึงขั้นกลับมามีกำไร และกลุ่มอาหาร/ค้าปลีก จะเติบโต 22% และ 20% ตามลำดับ จากแรงหนุนยอดใช้จ่ายของมาตรการรัฐที่มีออกมาต่อเนื่อง

โดยคาดการณ์กำไรในสิ้นปีจะอยู่ที่ 7 แสนล้านบาท เติบโต 49% จากช่วงเดียวกันปีก่อน กำไรต่อหุ้นที่ 78 บาท คำนวณจาก 165 บริษัท คิดเป็นสัดส่วน 76.7% ของมาร์เก็ตแคปรวม

ระลอกใหม่กระทบ 1-2 เดือน

นายวีระวัฒน์กล่าวว่า ฝ่ายวิจัยประเมินดัชนีตลาดหุ้นไทยสิ้นปีนี้ที่ 1,600 จุด P/E ที่ระดับ 20 เท่า ซึ่งราคาหุ้นไทยยังค่อนข้างสูง แนะนำนักลงทุนว่า หากดัชนีปรับตัวขึ้นไปแถว 1,600 จุด ให้เน้นทยอยขายทำกำไร

ส่วนความกังวลการระบาดโควิดระลอก 3 ยังไม่ชัดเจนว่าจะระบาดรุนแรงขนาดไหน แต่ประเมินว่าผลกระทบไม่น่าต่างจากรอบเดือน ม.ค. 2564 ซึ่งรัฐอาจมีมาตรการคุมเป็นจุด ๆ ไม่ล็อกดาวน์ทั้งประเทศ จึงน่าจะกระทบระยะสั้น 1-2 เดือน

“ที่ผ่านมาตลาดหุ้นคาดหวังเรื่องเศรษฐกิจจะฟื้นตัวจากการเปิดประเทศ แต่ต่อไปตลาดจะคาดหวังความเป็นจริงของเศรษฐกิจ โดยตั้งแต่ไตรมาส 2-3 เป็นต้นไป หลังมีการทยอยฉีดวัคซีนและเปิดรับต่างชาติ ต้องติดตามว่าเศรษฐกิจจะฟื้นตัวได้ตามที่คาดหวังหรือไม่ เป็นปัจจัยที่สำคัญมาก รวมถึงทิศทางเงินเฟ้อสหรัฐที่ปรับตัวขึ้นในไตรมาส 2 เป็นต้นไปด้วย”

กำไร บจ.โตอย่างต่ำ 40%

ด้านนายไพบูลย์ นลินทรางกูร ประธานกรรมการ สภาธุรกิจตลาดทุนไทย (FETCO) กล่าวว่า ประเมินว่ากำไรบริษัทจดทะเบียนในปีนี้น่าจะโตอย่างต่ำ 40% เนื่องจากปีก่อนฐานต่ำมาก ติดลบเกือบ 40% ประกอบกับเศรษฐกิจโลกดีกว่าที่คาด โดยกองทุนการเงินระหว่างประเทศ (IMF) ปรับคาดการณ์แนวโน้มการเติบโตจีดีพีโลกขึ้นเป็นบวก 6% จากเดิมคาดไว้ 5.5% และการทยอยฉีดวัคซีนของทั่วโลกทำได้เร็ว