ตลาดหุ้นไทยแกว่งตัว “ขึ้นก่อนอ่อนทีหลัง” ในกรอบ 1,540-1,560 จุด แนวโน้มหลักอิงทางลง เช้านี้อาจเกิดเทคนิคอลรีบาวนด์สั้น ๆ บริเวณแนวต้าน 1,560 จุด แต่ไม่น่ายืนได้ หลังตลาดถูกปกคลุมด้วยปัจจัยลบ “บล.ฟิลลิป” ประเมิน เดือน พ.ค.ยอดผู้ติดเชื้อโควิดพีกสุดของการระบาดวันละ 3-4 พันรายจากคลัสเตอร์คลองเตย หวั่นล็อกดาวน์เต็มรูปแบบ กดดัน SET เผชิญแรงขายหนัก-อัพไซต์ลดหากกระจายวัคซีนได้ไม่เร็ว
บริษัทหลักทรัพย์ (บล.) ฟิลลิป (ประเทศไทย) รายงานแนวโน้มตลาดหุ้นไทยวันที่ 6 พ.ค. 2564 ว่า วานนี้ตลาดหุ้นไทยปรับตัวลงกว่า 33 จุด (-2.14%) มากที่สุดในภูมิภาค โดยแรงขายหลักมาจากฝั่งนักลงทุนต่างชาติด้วยปริมาณขายสุทธิกว่า 10,000 ล้านบาท สูงที่สุดตั้งแต่มีวิกฤตโควิด-19 คาดว่าเช้านี้ SET Index อาจเกิดเทคนิคอลรีบาวนด์สั้น ๆ ไปที่บริเวณแนวต้าน 1,560 จุด แต่ไม่น่ายืนได้ ขณะโมเมนต้มทางลงยังปกคลุมตลาด ด้วยปัจจัยจากการระบาดโควิด-19 ภายในประเทศกดดันให้มุมมองเศรษฐกิจไทยปีนี้ถูกปรับลดลงต่อเนื่อง จึงมองว่า SET Index วันนี้จะแกว่งตัวแบบขึ้นก่อนอ่อนทีหลังในกรอบระหว่าง 1,540-1,560 จุด โดยแนวโน้มหลักยังอิงทางลง
- ประกาศแล้ว! พระราชกฤษฎีกาเงินช่วยค่าครองชีพผู้รับเบี้ยหวัดบำนาญ รับ 11,000 บาทต่อเดือน
- อย. เตือนอย่าซื้อผลิตภัณฑ์ CDS มาทาน อันตรายถึงชีวิต
- แห่ขายที่ดินพ่วงโรงงาน เอกชนถอดใจ-สินค้าจีนตีตลาด
ปัจจุบันสถานการณ์การระบาดโควิด-19 ระลอก 3 กลับมาเป็นปัจจัยกดดันตลาดหุ้นไทยโดยตรง หลังตัวเลขผู้ติดเชื้อรายวันเร่งตัวขึ้นอีกครั้งและจำนวนผู้เสียชีวิตยังเพิ่มขึ้นต่อเนื่อง ทางฝ่ายวิจัยมองว่าเดือน พ.ค. 2564 มีโอกาสเป็นจุดสูงสุดของการระบาด นั่นคือจำนวนผู้ติดเชื้อรายวันอาจพุ่งแตะระดับ 3-4 พันราย จากคลัสเตอร์คลองเตย และหากไม่สามารถควบคุมได้อาจถึงขั้นล็อกดาวน์เต็มรูปแบบ ซึ่งจะทำให้ SET Index เผชิญแรงขายอย่างหนักและอัพไซต์ลดลงจากเดิม แต่หากการกระจายวัคซีนทำได้เร็วขึ้น อาจช่วยให้ไทยผ่านพ้นวิกฤตครั้งนี้ไปได้
ด้านตัวเลขเศรษฐกิจสหรัฐเข็งแกร่ง นักวิเคราะห์คาดการณ์ตัวเลขการจ้างงานนอกภาคการเกษตรสหรัฐ (Non-farm Payrolls) พรุ่งนี้จะเพิ่มขึ้นกว่า 1,000,000 ตำแหน่ง และอัตราการว่างงานน่าจะลดลงไปที่ระดับ 5.8% สะท้อนความแข็งแกร่งของเศรษฐกิจสหรัฐ ทำให้เงินดอลลาร์สหรัฐกลับมาแข็งค่า ซึ่ง Dollar Index จะเคลื่อนไหวในทิศทางตรงกันข้ามกับ SET Index
และต้องจับตาอัตราการว่างงานเนื่องจากธนาคารกลางสหรัฐ (Fed) ใช้เป็นหนึ่งเป้าหมายในการตัดสินใจเรื่องอัตราดอกเบี้ย โดยในปี 2559 ที่อัตราการว่างงานอยู่ราว 5.0% ทำให้เฟดตัดสินใจปรับขึ้นตราดอกเบี้ยนโยบายครั้งแรกหลังวิกฤตซับไพรม์
ในขณะที่ก่อนหน้านี้ นางเจเน็ต เยลเลน รมว.คลังสหรัฐ เผยเกี่ยวกับอัตราดอกเบี้ยนโยบายว่าควรปรับขึ้น แม้ว่าภายหลังจะออกมายืนยันว่าอำนาจการตัดสินใจเป็นของเฟดก็ตาม แต่ก็ได้ส่งผลให้ค่าเงินดอลลาร์สหรัฐพลิกกลับมาแข็งค่าอีกครั้ง ดึงดูดให้เม็ดเงินลงทุนต่างชาติ (ฟันด์โฟลว์) ไหลกลับสหรัฐจากผลตอบแทนที่สูงขึ้นหากเฟดปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยเร็วกว่าที่คาด
โดยกลยุทธ์การลงทุน ทยอยลดสัดส่วนหุ้นกลุ่ม Domestic Play และหันไปเก็งกำไรในหุ้น Global Play เป็นหลัก หรือเก็งกำไรในหุ้นที่คาดงบไตรมาส 1/64 จะออกมาดี โดยมองว่าความเสี่ยงจากความล่าช้าในการกระจายวัคซีนน่าจะส่งผลกระทบต่อการบริโภคภายใน รวมถึงภาคการท่องเที่ยว ดังนั้นเศรษฐกิจไทยปีนี้อาจต้องพึ่งพาภาคการส่งออกเป็นหลัก
