เศรษฐกิจไทยติดหล่มโควิด หดตัวต่อเนื่อง 5 ไตรมาส ปีหน้าส่อโตต่ำ

ไม่ได้เป็นเรื่องเกินคาดเมื่อสำนักงานสภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ (สศช.) หรือสภาพัฒน์ ประกาศตัวเลขอัตราการขยายตัวทางด้านเศรษฐกิจ (จีดีพี) ของไทยในไตรมาสแรกปี 2564 ออกมาหดตัวที่ -2.6% ต่อปี ติดลบต่อเนื่องกันเป็นไตรมาส 5 แล้วนับจากไตรมาสแรกปีก่อน

“ดนุชา พิชยนันท์” เลขาธิการ สศช.กล่าวว่า ได้ปรับประมาณการจีดีพีใหม่โดยคาดว่าปีนี้จะโตได้ราว 2% หรืออยู่ในช่วง 1.5-2.5% ลดลงจากประมาณการเดิมที่คาดจะโตในช่วง 2.5-3.5% ทั้งนี้ ไตรมาสแรกจีดีพีหดตัวไป -2.6% เป็นผลกระทบมาจากการระบาดของโควิด-19 ระลอกใหม่ ตั้งแต่ช่วงต้นปี

“โควิด” สร้างความไม่แน่นอน

การปรับประมาณการรอบนี้ สศช.ได้คำนึงถึงการแพร่ระบาดของโควิดที่ยังไม่มีความแน่นอน แต่ประเมินว่าจะสามารถควบคุมได้ในช่วงเดือน มิ.ย.เป็นต้นไป อย่างไรก็ดี เศรษฐกิจไทยปีนี้ยังมีข้อจำกัดและปัจจัยเสี่ยงจากการแพร่ระบาดของโควิด รวมทั้งความล่าช้าในการกระจายวัคซีนโดยเฉพาะในประเทศกำลังพัฒนา ขณะที่ความไม่แน่นอนที่เกิดขึ้นจากไวรัสสายพันธุ์ใหม่จะสร้างความวิตกกังวลมากขึ้น และมีผลต่อการฟื้นตัวของภาคท่องเที่ยว ซึ่ง สศช.ประมาณการว่าจะทำให้มีนักท่องเที่ยวต่างชาติเข้ามาเพียง 5 แสนราย

การเงิน “ครัวเรือน-ธุรกิจ” เสี่ยง

ยังมีปัจจัยเสี่ยงในเรื่องฐานะการเงินภาคครัวเรือนและภาคธุรกิจที่ยังไม่ฟื้นตัวเต็มที่ หนี้ครัวเรือนที่เพิ่มขึ้นจากไตรมาส 4/2563 อยู่ที่ 89.3% อย่างไรก็ดี หากพิจารณาในแง่หนี้ที่ไม่ก่อให้เกิดรายได้ (NPL) ต่อสินเชื่อทั้งหมดอยู่ที่ 3.1% ถือว่ายังอยู่ในระดับที่สามารถบริหารจัดการได้

นอกจากนี้ ความผันผวนของเศรษฐกิจและการเงินโลก ไม่ว่าจะเป็นทิศทางการดำเนินนโยบายของประเทศเศรษฐกิจหลัก โดยเฉพาะนโยบายการค้าของสหรัฐอเมริกาและจีนก็เป็นความเสี่ยงสำคัญต่อเศรษฐกิจไทยด้วย รวมทั้งการดำเนินนโยบายการเงินของธนาคารกลางสหรัฐ (เฟด) และประเทศสำคัญในระยะถัดไป ซึ่งจะมีแรงกดดันจากเงินเฟ้อที่มีแนวโน้มเพิ่มขึ้นจากการปรับตัวดีขึ้นของเศรษฐกิจโลกและราคาโภคภัณฑ์

แนะ 7 แนวทางดูแลเศรษฐกิจ

เลขาธิการ สศช.เสนอแนะแนวทางการบริหารเศรษฐกิจในปีนี้ 7 แนวทาง ได้แก่ 1.ควบคุมการแพร่ระบาดของโควิดภายในประเทศ เพื่อให้จำนวนผู้ติดเชื้อลดลงและอยู่ในวงจำกัดโดยเร็ว และการเร่งรัดจัดหาและกระจายวัคซีนให้กับประชาชนอย่างครอบคลุมทั่วถึง รวมทั้งพัฒนาศักยภาพของระบบสาธารณสุขให้เพียงพอรองรับการแพร่ระบาด 2.ดำเนินมาตรการทางเศรษฐกิจ เพื่อช่วยเหลือเยียวยาประชาชน แรงงาน และภาคธุรกิจที่ได้รับผลกระทบ และฟื้นฟูเศรษฐกิจ ทั้งเร่งรัดมาตรการที่ดำเนินการไปแล้ว และพิจารณาออกมาตรการเพิ่มเติม รวมถึงมีมาตรการช่วยเหลือภาคแรงงาน

3.ขับเคลื่อนการส่งออกสินค้าไปยังตลาดหลักที่มีการฟื้นตัวทางเศรษฐกิจที่ชัดเจน และสร้างตลาดใหม่ให้สินค้าที่มีศักยภาพ 4.ส่งเสริมการลงทุนภาคเอกชน 5.รักษาแรงขับเคลื่อนการขยายตัวทางเศรษฐกิจจากการใช้จ่ายและการลงทุนภาครัฐ 6.เตรียมพร้อมสำหรับการเปิดรับนักท่องเที่ยวต่างชาติ และ 7.รักษาบรรยากาศทางการเมืองในประเทศ

“บริโภค-ท่องเที่ยว” ส่อโตต่ำ

“ศูนย์วิจัยกสิกรไทย” ชี้ว่า จากการระบาดระลอกใหม่ยังไม่สามารถควบคุมได้ จึงยังคงประมาณการเศรษฐกิจไทยปีนี้ที่ 1.8% โดยความเสี่ยงจากโควิดยังอยู่ในระดับสูง ท่ามกลางอัตราการฉีดวัคซีนของไทยที่ยังอยู่ในระดับต่ำ ซึ่งจะกระทบความเชื่อมั่นและพฤติกรรมของผู้บริโภค ส่งผลให้การบริโภคภาคเอกชนมีทิศทางขยายตัวต่ำกว่าที่เคยประเมิน

อีกทั้งความกังวลเกี่ยวกับการแพร่ระบาดจะส่งผลให้นักท่องเที่ยวเข้ามาท่องเที่ยวในไทยต่ำกว่าคาด แม้ว่าจะมีการทยอยเปิดประเทศเพื่อรับนักท่องเที่ยว โดยในปีนี้นักท่องเที่ยวอาจอยู่ในกรอบ 0.25-1.20 ล้านคนเท่านั้น

เสี่ยงรายได้ลด-ค่าครองชีพพุ่ง

“ศูนย์วิจัยกสิกรไทย” ชี้ด้วยว่า ท่ามกลางเงินเฟ้อของไทยมีทิศทางเพิ่มสูงขึ้นตามราคาสินค้าโภคภัณฑ์ ไทยมีความเสี่ยงที่จะเผชิญกับภาวะ stagflation กล่าวคือ รายได้ลด แต่ค่าครองชีพกลับสูงขึ้น ซึ่งส่งผลให้มาตรการภาครัฐยังคงมีความจำเป็นที่จะบรรเทาภาระค่าใช้จ่ายของครัวเรือน

“ธปท.-แบงก์” ประคองลูกหนี้

ด้าน “สุวรรณี เจษฎาศักดิ์” ผู้อำนวยการอาวุโสธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) กล่าวว่า แนวโน้มหนี้ที่ไม่ก่อให้เกิดรายได้ (NPL) เป็นสิ่งที่ ธปท.และธนาคารพาณิชย์กังวล โดยเฉพาะในเซ็กเตอร์ท่องเที่ยวที่น่าห่วง ทั้งโรงแรม ขนส่ง การบิน หรือที่เกี่ยวเนื่องกับร้านอาหาร แต่เชื่อว่าหลังจากรัฐคลายเกณฑ์คุมโควิด กิจการเหล่านี้ก็อาจกลับมาดีขึ้นได้

อย่างไรก็ดี คุณภาพสินเชื่อในไตรมาสแรกปีนี้โดยรวมปรับตัวเพิ่มขึ้นเล็กน้อย แต่คุณภาพสินเชื่ออุปโภคบริโภคมีความเปราะบางมากขึ้น ทั้งส่วนสินเชื่อบุคคล สินเชื่อรถยนต์ และสินเชื่อบัตรเครดิต

“ในระยะต่อไปคาดว่าลูกหนี้ยังต้องการความช่วยเหลืออย่างต่อเนื่อง ซึ่ง ธปท.มีการหารือกับสถาบันการเงินตลอดเวลาในการช่วยเหลือลูกค้า ล่าสุดก็ออกมาตรการช่วยลูกหนี้รายย่อยระยะที่ 3 ออกมา” นางสาวสุวรรณีกล่าว

ฉีดวัคซีนช้าฉุด ศก.โตต่ำยันปีหน้า

ฟาก “ศูนย์วิเคราะห์เศรษฐกิจ ทีทีบี” ประเมินว่า ภาพรวมทั้งปี 2564 เศรษฐกิจจะโตได้ 1.9% ต่อปี ขณะที่ปี 2565 คาดว่าจีดีพีจะโตได้ 3.6% อย่างไรก็ดี หากสามารถกระจายวัคซีนได้เร็วมากขึ้น อย่างกรณีฉีดได้ 5 แสนโดสต่อวัน ก็จะเป็นปัจจัยเร่งให้เปิดประเทศได้เร็ว ตั้งแต่เดือน พ.ย. 2564 สร้างความเชื่อมั่นให้แก่ตลาดนักท่องเที่ยว ซึ่งจะส่งผลให้จำนวนนักท่องเที่ยวต่างชาติในปีหน้ามีแนวโน้มเพิ่มเป็น 13.8 ล้านคน เป็นแรงหนุนดันให้เศรษฐกิจปีหน้าขยายตัวได้เพิ่มขึ้นเป็น 4.4% ได้


ถ้าไม่อยากให้เศรษฐกิจไทยติดหล่ม “โควิด” ตกอยู่ใน “วงจรอุบาทว์” ซ้ำซาก รัฐบาลต้องปรับแผนเรื่องวัคซีนให้เร็วขึ้นอีก จะทำได้หรือไม่ต้องติดตามกันต่อไป