กูรูแนะจัดพอร์ตรับมือตลาดผันผวน เปลี่ยนโหมด-เลี่ยงลงทุน “หุ้นเก็งกำไร”

ตลาดหุ้นไทย-set

กูรูแนะจัดพอร์ตลงทุนรับมือภาวะตลาดผันผวน ขาใหญ่ “ดร.นิเวศน์” เตือนควรลงทุนอย่างระมัดระวัง เลี่ยงหุ้นเก็งกำไร-เปลี่ยนโหมดลงหุ้น “value play”ขณะที่ “บล.เอเซีย พลัส” เน้นกระจายลงทุนบาลานซ์พอร์ตสู้ “โควิด-เงินเฟ้อสหรัฐเร่งตัวขาขึ้น” ฟาก “บลจ.ไทยพาณิชย์” เพิ่มน้ำหนักพอร์ตหุ้นยุโรปกลุ่ม “high growth”

ดร.นิเวศน์ เหมวชิรวรากร นักลงทุนหุ้นคุณค่า (value investor) เปิดเผย “ประชาชาติธุรกิจ” ว่า การลงทุนช่วงที่ตลาดผันผวนมากนี้ ควรจัดพอร์ตลงทุนแบบระมัดระวัง (conservative) เนื่องจากตลาดหุ้นทั่วโลกมีความไม่แน่นอนสูง ซึ่งมีโอกาสร่วงหนักได้อีกจากนโยบายทางการเงินของสหรัฐอเมริกา ที่ธนาคารกลางสหรัฐ (เฟด) มีโอกาสปรับขึ้นดอกเบี้ย จากความกังวลอัตราเงินเฟ้อที่เร่งตัวขึ้น

ดังนั้น จึงเป็นสัญญาณที่น่าห่วงว่าถึงเวลาหุ้นปรับตัว และถ้าแนวโน้มเปลี่ยนก็มีโอกาสปรับตัวลงแรง เพราะฉะนั้น หุ้นเก็งกำไรควรจะต้องถอยออกมาโดยเปลี่ยนโหมดมาเน้นลงทุนหุ้นเน้นคุณค่า (value play) มากขึ้น

 

“ต้องลดความเสี่ยงการกระจุกตัวในพอร์ตการลงทุนด้วยการจัดสรรสินทรัพย์ที่หลากหลายมากขึ้น ซึ่งปัจจุบันพอร์ตลงทุนหลักของผมจะเน้นลงทุนหุ้นต่างประเทศ20% โดยลงทุนหุ้นเวียดนามเป็นหลัก หุ้นไทย 75% และที่เหลือเงินฝาก 5%

หลัก ๆ ในเวียดนามจะเน้นลงทุนหุ้นขนาดเล็กกระจายตัว และเป็นหุ้นที่มีราคาถูก เช่น หุ้นพลังงานและไฟฟ้า หุ้นที่มีโอกาสเติบโตต่อเนื่องยาวนาน และลงทุนหุ้นผ่านกองทุนรวม ETF ผลตอบแทนโดยเฉลี่ยตั้งแต่ต้นปีถึงปัจจุบันบวกเกือบ 30% ถือว่าโตดีมาก แต่พอร์ตรวมค่อนข้างแย่เพราะแทบจะไม่มีกำไรจากการลงทุนหุ้นไทย”

นายฐกฤต ชาติเชิดศักดิ์ ผู้ช่วยผู้จัดการฝ่ายวิจัย บริษัทหลักทรัพย์ (บล.) เอเซีย พลัส กล่าวว่า การจัดพอร์ตลงทุนระยะนี้ควรเน้นกระจายลงทุนในหลากหลายสินทรัพย์ เพราะตลาดถูกกดดันจากภาพอัตราเงินเฟ้อสหรัฐที่ปรับขึ้นในอัตราเร่ง โดยแนะนำลงทุนหุ้นไทย 30% หุ้นต่างประเทศ 30% ตราสารหนี้ 20% กองทุนรวมตลาดเงิน 10% และที่เหลืออีก 10% สินทรัพย์ทางเลือกอื่น ๆ อาทิทองคำ, สินทรัพย์ดิจิทัล เป็นต้น

“บริษัทจะปรับพอร์ตลงทุนใหม่ทุก 1 เดือน โดยภาพการลงทุนหุ้นไทยต้องเลือกรายตัว โฟกัสหุ้นธีม reopening จากกระแสเปิดเมืองหลังรัฐบาลประกาศให้เอกชนเริ่มให้ประชาชนนั่งรับประทานอาหารที่ร้านได้ ซึ่งเป็นสัญญาณเชิงบวก”

ทั้งนี้ ตัวเลือกหุ้นเปิดเมือง ได้แก่ หุ้นโรงแรมและร้านอาหาร อาทิ บมจ.ไมเนอร์ อินเตอร์เนชั่นแนล (MINT) แนะนำ “ซื้อ”ราคาเป้าหมายที่ 34 บาท ส่วนอีก 2 บริษัทแนะนำเล่น “เก็งกำไร” คือ บมจ.เซ็นคอร์ปอเรชั่น กรุ๊ป (ZEN) และ บมจ.อาฟเตอร์ ยู (AU)

นอกจากนี้ ยังมีหุ้นที่ได้ประโยชน์จากการจัดหาวัคซีน คือ หุ้นโรงพยาบาล ที่ภาครัฐให้โรงพยาบาลเอกชนจัดหาวัคซีนทางเลือกเข้ามาฉีดได้ จึงแนะนำ “ซื้อ” บมจ.กรุงเทพดุสิตเวชการ (BDMS) ราคาเป้าหมายที่ 24 บาท เพราะกำไรไตรมาสแรกเป็นจุดต่ำสุดแล้ว ในช่วงครึ่งปีหลังจะเห็นการฟื้นตัวแบบขั้นบันได

รวมไปถึงหุ้นในกลุ่ม global play (หุ้นกลุ่มที่ผลประกอบการขึ้นกับลักษณะเศรษฐกิจโลกเป็นหลัก) หรือกลุ่มส่งออกยานยนต์ ซึ่งไม่ถูกกระทบจากสถานการณ์โควิดอย่าง บมจ.สมบูรณ์ แอ๊ดวานซ์ เทคโนโลยี (SAT) แนะนำ “ซื้อ” ราคาเป้าหมายที่ 24 บาท

และหุ้นสินค้าโภคภัณฑ์ที่ไม่ได้รับผลกระทบจากโควิดอย่าง บมจ.น้ำมันพืชไทย (TVO) แนะนำ “ซื้อ” ราคาเป้าหมายที่ 37 บาท เพราะกำไรไตรมาสแรกออกมาดีมาก ส่วนหุ้นต่างประเทศแนะนำหุ้นเจพี มอร์แกน และกองทุนรวมหุ้นต่างประเทศ(ETF) ในกลุ่ม AWAY US

นายพรเทพ ชูพันธุ์ หัวหน้ากลุ่มวิเคราะห์การลงทุน บริษัทหลักทรัพย์จัดการกองทุน (บลจ.) ไทยพาณิชย์ (SCBAM) กล่าวว่า เทรนด์ลงทุนภาพใหญ่จะเป็นการฟื้นตัวของเศรษฐกิจโลก ซึ่งมองว่าจะมีการเปิดเศรษฐกิจมากขึ้น แต่เนื่องด้วยแต่ละประเทศเปิดไม่พร้อมกัน ดังนั้น แนะนำลงทุนในตลาดหุ้นที่มีความคืบหน้าการฉีดวัคซีน อาทิ หุ้นสหรัฐ หุ้นยุโรป และถัดไปคือหุ้นเอเชีย


“สมมุติพอร์ตลงทุนในหุ้น 50% ตราสารหนี้ 50% ตอนนี้ควรอัพพอร์ตหุ้นเพิ่มขึ้นไปมากกว่าเดิม เน้นหุ้นต่างประเทศในกลุ่ม high growth โดยเฉพาะหุ้นยุโรป เซ็กเตอร์กลุ่มที่โตตามภาวะเศรษฐกิจ ส่วนหุ้นไทยก็ติดไว้ได้”