“เศรษฐา-ระเฑียร” 2 บิ๊ก 2 วงการ จับมือบุกธุรกิจการเงินยุคดิจิทัล

ย่อมไม่ธรรมดาเมื่อสองบิ๊กธุรกิจมือวางอันดับต้น ๆ ของเมืองไทย “ระเฑียร ศรีมงคล” แม่ทัพธุรกิจบัตรเครดิตเคทีซี และ “เศรษฐา ทวีสิน” เจ้าพ่ออสังหาริมทรัพย์ ประกาศบุกเบิกธุรกิจใหม่ร่วมกันภายใต้ บริษัท เอ็กซ์สปริง แคปปิตอล จำกัด (มหาชน) หรือ XPG (ชื่อเดิม ซีมิโก้ แคปปิตอล) โดย “แสนสิริ” จะเข้าไปถือหุ้นใหญ่อันดับ 1 ที่ 15% ด้วยเงินลงทุนกว่า 2 พันล้านบาท

“ประชาชาติธุรกิจ” สัมภาษณ์พิเศษ “ระเฑียร ศรีมงคล” ในบทบาทประธานกรรมการ บมจ.เอ็กซ์สปริง แคปปิตอล (XPG) และ “เศรษฐา ทวีสิน” ประธานอำนวยการ และกรรมการผู้จัดการใหญ่ บมจ.แสนสิริ (SIRI) ถึงจังหวะก้าวที่ทั้งคู่เชื่อว่าเป็นย่างก้าวใหม่ที่ยิ่งใหญ่ และมีความสำคัญ ในการขยับขยายการลงทุนไปยัง digital financial service ที่กำลังเติบโต

กว่าจะมาเป็น XSpring

“ระเฑียร” เล่าถึงที่มาที่ไปการตัดสินใจเข้าไปซื้อหุ้น บริษัท ซีมิโก้ แคปปิตอล เมื่อ 3 เดือนก่อนว่า เพราะมองเห็นคุณค่าของการมีใบอนุญาต (ไลเซนส์) ของซีมิโก้ฯจำนวนมาก เรียกว่าครบที่สุดบริษัทหนึ่งในธุรกิจการเงินดั้งเดิม (tradition finance) แม้คนส่วนใหญ่อาจมองว่าเป็น “ซันเซต อินดัสทรี” แต่ตนมองว่าเป็น “โอกาส” เพราะหนึ่งในไลเซนส์ที่มี คือ AMC (บริหารสินทรัพย์) ทั้งยังเป็น 1 ใน 2 บริษัทไทยที่มีใบอนุญาตในการเป็นผู้ให้บริการระบบเสนอขายโทเค็นดิจิทัล หรือ ICO Portal อีกด้วย

“แม้ซีมิโก้ฯ (ชื่อเดิม) จะเป็นบริษัทเล็ก ๆ แต่ไลเซนส์ที่มีสามารถจะนำไปต่อยอดธุรกิจได้อีกมาก มีเงินทุนหมุนเวียนในบริษัทกว่า 2,300 ล้านบาท ตอนนั้นราคาหุ้น ZMICO วิ่งอยู่แค่ 0.60 บาท ผมเจรจาซื้อที่ 0.90 บาท จากคุณสุเทพ วงศ์วรเศรษฐ (ผู้ถือหุ้น และประธานกรรมการบริษัทขณะนั้น) เนื่องจากรู้จักกันจึงให้ราคาพรีเมี่ยม ซื้อขายกันที่ 1.60 บาท ซื้อ 100 ล้านหุ้น เป็นเงิน 160 ล้านบาท โดยใช้เงินเก็บที่มีมาซื้อ คิดเป็นสัดส่วนหุ้นราว 6.047% โดย 25 ล้านหุ้น เป็นชื่อผม อีก 75 ล้านหุ้น เป็นชื่อลูกสาว (น.ส.กมลกานต์ ศรีมงคล)”

เพราะที่ผ่านมาอยู่ในธุรกิจภายใต้การควบคุม และกำกับดูแลมาตลอดจึงเห็นคุณค่าของการมี “ไลเซนส์” เพราะการขอใบอนุญาตต้องใช้เวลา และมีความไม่แน่นอนว่าจะได้เมื่อไร อีกส่วนคือจากประสบการณ์จะรู้ว่าในช่วงที่เศรษฐกิจไม่ดีก็จะมีโอกาสอยู่ด้วยเช่นกัน

เมื่อซื้อมาแล้วก็เปลี่ยนชื่อจากซีมิโก้ เป็น “เอ็กซ์สปริง” มาจากคำว่า “Spring” ที่แปลว่า “ฤดูใบไม้ผลิ” หมายถึงการเริ่มต้นใหม่ การมีชีวิตใหม่

“ที่มี X นำหน้า เพราะชื่อสปริงส์ มีคนใช้ไปแล้ว (หัวเราะ) เราเลยเพิ่ม X หรือมัลติพลาย หรือตัวคูณไปข้างหน้าด้วย ซึ่งก็ดี เพราะเปรียบเป็นทวีคูณ”

“ผมมองว่าเศรษฐกิจไทยไม่ดี นั่นคือก่อนโควิดด้วยนะ ให้ลองนึกถึงสมัยวิกฤตปี’40 คนที่มีโอกาสในเวลานั้น คือคนที่จะมาซื้อหนี้ จึงมองหาว่าโอกาสอยู่ที่ไหน โดยเริ่มจากมาดูว่าใครบ้างที่มีไลเซนส์ AMC และพบว่าบริษัทนี้มี แต่ไม่ได้ทำอะไร จึงคิดว่าเป็น good buy พอซื้อมาแล้วก็มาตกผลึกว่ามีจุดอ่อนตรงไหนที่จะต้องเติมเต็ม และไดเร็กชั่นต่อไปควรจะเป็นอย่างไรให้แตกต่างจากคนอื่น ซึ่งก็คือการขยายการลงทุนในเรื่องดิจิทัลไฟแนนซ์”

เกตเวย์เชื่อมโลกเก่า-ใหม่

“ระเฑียร” กล่าวต่อว่า ธุรกิจการเงินแบบดั้งเดิมมีกำไรไม่เยอะ ต่างจากการเงินยุคดิจิทัล ขณะที่การมี digital license มีโอกาสเติบโตได้อีกมาก แต่การมีใบอนุญาตเป็นแค่จุดเริ่มต้น จำเป็นต้องใช้เงินลงทุนอีกจำนวนมากด้วย จึงคิดถึงการมองหาพันธมิตรที่มีวิสัยทัศน์แบบเดียวกัน

“วิชั่นที่ว่า คือเป็นเกตเวย์ของคนรุ่นเก่า และคนรุ่นใหม่ ที่เชื่อมโยงกันได้ เป็นศูนย์รวมและเปิดมุมมองของคนทั้ง 2 โลกให้เข้าใจโลกอีกใบ โดยทำหน้าที่ create wealth (สร้างความมั่งคั่ง) ให้คนทั้ง 2 โลก ผมจึงไปชวนคุณเศรษฐา ทีแรกคิดว่าแสนสิริจะลงทุนสัก 10% แต่สุดท้ายขอเพิ่มเป็น 15% ไปคุยกับทางกลุ่มวิริยะประกันภัย ก็ใส่เงินลงทุนมา 1,102 ล้านบาท ถือหุ้น 10% คุณมงคล ประกิตชัยวัฒนา ซึ่งเป็นนักลงทุน ก็ใส่เงินลงทุนมา 1,488 ล้านบาท ถือหุ้น 13.5% ทุกคนที่เข้ามาล้วนเป็นนักลงทุนระยะยาว และมีวิชั่นร่วมกัน” นายระเฑียรกล่าว

โดยเม็ดเงินที่ได้จากการดึงผู้ถือหุ้นกลุ่มใหม่เข้ามาจะอยู่ที่ประมาณ 6.9 พันล้านบาท รวมกับเงินทุนเดิมที่มีทำให้บริษัทมีเงินกว่า 9 พันล้านบาท เพียงพอที่จะขยายการลงทุน และพัฒนาระบบต่าง ๆ

ย้ำจุดยืนสร้างความเท่าเทียม

บิ๊กแสนสิริเสริมว่า การตัดสินใจเข้ามาลงทุนของแสนสิริในครั้งนี้ใช้เวลาคิดแค่คืนเดียว เพราะเข้าใจระบบนิเวศของโลกการเงินดิจิทัลเป็นอย่างดี มองว่านอกจากจะไปด้วยกันได้ดีกับธุรกิจหลักของแสนสิริ ยังเป็นการขยายพอร์ตการลงทุน ทำให้มีโอกาสเข้าถึงลูกค้ากลุ่มคนรุ่นใหม่ เนื่องจากหนึ่งในใบอนุญาตที่ XSpring มี คือ การได้รับความเห็นชอบจาก ก.ล.ต. เป็นผู้ให้บริการระบบเสนอขาย “โทเค็นดิจิทัล” หรือ ICO พร้อมขยายไปยัง digital financial service ที่กำลังเติบโต

“ดิจิทัลไฟแนนซ์เป็นสิ่งที่คนรุ่นใหม่เข้าถึงได้ เป็นโลกใบใหม่ และถือเป็นก้าวสำคัญของเราด้วย ผมใช้คำว่า new door เพื่อสื่อว่าเป็นย่างก้าวธุรกิจใหม่ที่น่าติดตาม และเราให้ความสำคัญจริง ๆ เพราะสินทรัพย์ดิจิทัลแทบไม่มีข้อจำกัด จึงเข้าถึงง่าย ทำให้คนรุ่นใหม่หันมาลงทุนกันมากขึ้น แตกต่างจากโลกการเงินเดิมที่โอกาสตกอยู่ในมือคนกลุ่มเล็ก แต่มีเงินเยอะ

เราเองขายบ้านตั้งแต่ 500 ล้านบาท ลงไปจนถึง 9.9 แสนบาท มีลูกค้าหลายกลุ่ม แต่กลุ่มใหญ่ที่สุดไม่ใช่บ้านแพง ๆ คนเหล่านี้คือคนรุ่นใหม่ ทำให้ต่อไปเราสามารถใช้ช่องทางนี้ในการแสวงหาลูกค้าได้ ทั้งแบบ old world และ new world ผ่านทั้งลูกค้าแสนสิริ และลูกค้าวิริยะประกันภัย ซึ่งมีฐานลูกค้าประกันรถยนต์ที่ใหญ่ที่สุดในประเทศ”

การสร้างความเท่าเทียมไม่ได้เป็นแค่มิติทางสังคม และการเมือง โลกธุรกิจก็สร้างความเท่าเทียมได้

จ่อขายเหรียญ SIRIHUB

“ระเฑีย” กล่าวต่อว่า โปรดักต์ตัวแรกภายใต้การดำเนินงานของ XSpring คือ “โทเค็นดิจิทัล” ที่มีสินทรัพย์เป็นหลักค้ำประกัน ซึ่งจะถือเป็นรายแรกในประเทศไทย โดยบริษัทได้ยื่นแบบแสดงรายการข้อมูลการเสนอขาย (ไฟลิ่ง) ต่อสำนักงาน ก.ล.ต. เพื่อออกและเสนอขายโทเค็นดิจิทัลเพื่อการลงทุน (investment token) ในชื่อ “SIRIHUB” มี SIRI CAMPUS เป็นสินทรัพย์ค้ำประกัน คาดว่าภายใน 60 วันจากนี้ กระบวนการทั้งหมดจะแล้วเสร็จ พร้อมเสนอขายได้ในเดือน ก.ค.

ในเบื้องต้นตั้งมูลค่า 1 โทเค็น เท่ากับ 10 บาท เตรียมออกทั้งหมด 240 ล้านโทเค็น มูลค่ารวม 2,400 ล้านบาท แยกโทเค็นเป็น 2 กลุ่ม เสนอขายกลุ่มแรกประมาณ 1,600 ล้านบาท กลุ่มนี้จะรับความเสี่ยงได้ต่ำ และเสนอขายกลุ่มสอง ซึ่งรับความเสี่ยงได้สูงกว่า มูลค่าประมาณ 800 ล้านบาท เหมาะกับคนรุ่นใหม่ที่ชอบความหวือหวา

“ตามไฟลิ่งจะจ่ายผลตอบแทนระหว่าง 4-4.5% ซึ่งจะได้รับจากค่าเช่าที่แสนสิริจ่ายเข้ามา เพราะปัจจุบันแสนสิริเป็นผู้เช่าตึก SIRI CAMPUS สัญญา 12 ปี ซึ่งเมื่อครบ 4 ปี เจ้าของตึกจะนำตึกนี้มาขายเพื่อแบ่งกำไร”

“การจองซื้อเหรียญระบุให้ลงทุนขั้นต่ำที่ 10,000 บาท สมัครเปิดบัญชี KYC ผ่านแอปพลิเคชั่นได้ ซึ่งในแพลตฟอร์มยังมีตลาดรองที่สามารถเปลี่ยนมือโดยซื้อขายขั้นต่ำเท่าไรก็ได้ ถามว่าความเสี่ยงในการลงทุนมีไหม มี ถ้า 1.กระแสเงินไม่มั่นคง คือ แสนสิริไม่จ่ายค่าเช่า ซึ่งเป็นไปได้ยากมาก และ 2.สำหรับโทเค็นกลุ่มที่สอง กรณีขายทรัพย์สินได้ในราคาต่ำมากเมื่อเข้าปีที่ 4 ซึ่งก็ยังมองไม่เห็นว่ามีปัจจัยอะไรที่จะฉุดราคาลงได้ขนาดนั้น”

เติมเต็ม Ecosystem

“เศรษฐา” เสริมด้วยว่า ธุรกิจอสังหาฯเป็นอีโคซิสเต็มที่ใหญ่ เพราะทุกอย่างเริ่มต้นที่บ้าน แสนสิริมีลูกค้ากว่า 1 แสนครอบครัว มีพันธมิตรในหลายธุรกิจที่จะนำโทเคนไปแลกเปลี่ยนในอีโคซิสเต็มได้อีกมาก

ในอนาคต บริษัทยังสามารถออก utility token ที่นำไปใช้จ่ายได้จริงภายในอีโคซิสเต็มทั้งของ XSpring และแสนสิริ

“XSpring จะเป็นเกตเวย์เชื่อมโลกการเงินในปัจจุบันเข้ากับโลกการเงินดิจิทัลไว้ด้วยกัน ไม่ว่าลูกค้าจะอยากลงทุนในหุ้น กองทุน หรือสินทรัพย์ดิจิทัลก็สามารถทำได้ โดย XSpring เปรียบได้กับอีเบย์ หรือเว็บอีคอมเมิร์ซ “อเมซอน” ที่รวมการลงทุนจากทั่วโลกไว้ในแพลตฟอร์มเดียว อีกทั้งด้วยเทคโนโลยีบล็อกเชนยังทำให้การลงทุนเป็นเรื่องใกล้ตัว มีเงินเท่าไรก็เข้าถึงการลงทุนได้เท่ากัน สอดคล้องกับจุดยืนของบริษัทที่ส่งเสริมเรื่องความเท่าเทียมในการเข้าถึงโอกาสของคนทุกคน”

ต้องบอกว่า การลงทุนครั้งนี้จะเป็นการกระจายพอร์ตลงทุน ช่วยเสริมความแข็งแกร่งทางการเงิน และการดำเนินธุรกิจของแสนสิริที่ดีอยู่แล้ว ให้แข็งแกร่งยิ่งขึ้น

“ใน XSpring มีอะไรให้เราทำอีกเยอะ เช่น การซื้อสินทรัพย์ด้อยคุณภาพจากสถาบันการเงินต่าง ๆ มาพัฒนา ซึ่งเป็นทางของพลัส พร็อพเพอร์ตี้ บริษัทในเครือของเราอยู่แล้ว” บิ๊กแสนสิริย้ำทิ้งท้าย