เปิดเมืองภูเก็ต หนุนหุ้น 2 กลุ่ม ธุรกิจ “โรงแรม-การบิน” รับปัจจัยบวกรอฟื้น

ส่องหุ้นรับปัจจัยบวก “ภูเก็ตแซนด์บอกซ์” เปิดรับนักท่องเที่ยว 1 ก.ค.นี้ โบรกฯชี้หุ้น “การบิน-โรงแรม” ได้อานิสงส์ “บล.เคทีบี” ชี้ธุรกิจโรงแรมมีโอกาสปรับตัวได้มากกว่า แนะนำซื้อ “AOT-CENTEL-MINT”ฟาก “บล.เอเซีย พลัส” มองช่วงสั้น “เล่นเก็งกำไร” หุ้นสายการบินได้ แต่ระยะกลางถึงยาวแนะนำลงทุนหุ้น AOT รับประโยชน์เต็ม ๆ จากสัดส่วนผู้ใช้บริการสนามบินภูเก็ตค่อนข้างสูง

นายมงคล พ่วงเภตรา ผู้ช่วยกรรมการผู้จัดการ ฝ่ายกลยุทธ์การลงทุนหลักทรัพย์ บริษัทหลักทรัพย์ (บล.) เคทีบี (ประเทศไทย) เปิดเผย “ประชาชาติธุรกิจ” ว่า ตามแผนการเปิดรับนักท่องเที่ยวต่างชาติที่ได้รับการฉีดวัคซีนโควิด-19 แล้ว

จากประเทศที่มีความเสี่ยงต่ำและปานกลางของจังหวัดภูเก็ต (Phuket Sandbox) ตามข้อเสนอของการท่องเที่ยวแห่งประเทศไทย (ททท.) ที่กำหนดเริ่มในวันที่ 1 ก.ค.นี้ ประเมินว่าหุ้นอุตสาหกรรมการบินกับโรงแรม น่าจะได้ประโยชน์มากสุด แต่อาจจะไม่ได้สูงนัก เพราะยังเป็นพื้นที่ทดลอง ยกเว้นหากได้ผล แล้วทำให้มีการเปิดประเทศมากขึ้นในอนาคต

“ประเมินว่ากลุ่มธุรกิจโรงแรมน่าจะได้ประโยชน์มากกว่าธุรกิจสายการบิน เพราะสถานการณ์การเข้าพักโรงแรมจะปรับตัวดีขึ้นจากที่ฐานต่ำมาก ในขณะที่สายการบิน ปัจจุบันคนในประเทศเดินทางกันตามปกติ ซึ่งธุรกิจเริ่มปรับตัวขึ้นมาระดับหนึ่งแล้ว ฉะนั้นการบวกของกำไรหุ้นโรงแรมจะมีโอกาสปรับตัวได้มากกว่า”

โดยคาดว่า บมจ.โรมแรมเซ็นทรัลพลาซา (CENTEL) น่าจะได้ประโยชน์เป็นหลัก ตามมาด้วย บมจ.ไมเนอร์ อินเตอร์เนชั่นแนล (MINT) และ บมจ.ดิ เอราวัณ กรุ๊ป (ERW)

ทั้งนี้ คาดการณ์ CENTEL ปีนี้จะขาดทุน 1,700 ล้านบาท ลดลงจากปี 2563 ที่ขาดทุน 2,700 ล้านบาท ส่วนปี 2565 คาดว่าจะกลับมามีกำไร 244 ล้านบาท โดยให้ราคาที่เหมาะสมปี 2564 อยู่ที่ 38 บาท และแนะนำ “ซื้อ”

ส่วน MINT คาดการณ์ปีนี้ขาดทุน 19,000 ล้านบาท ลดลงจากปี 2563 ที่ขาดทุน 21,000 ล้านบาท ส่วนปี 2565 จะกลับมามีกำไร 2,016 ล้านบาท ให้ราคาที่เหมาะสมอยู่ที่ 35 บาท คำแนะนำ “ซื้อ”

ด้าน ERW คาดการณ์ปีนี้จะขาดทุน 1,600 ล้านบาท ลดลงเล็กน้อยจากปี 2563 ที่ขาดทุน 1,700 ล้านบาท ส่วนปี 2565 จะกลับมามีกำไร 103 ล้านบาท ให้ราคาที่เหมาะสมอยู่ที่ 4.50 บาท และแนะนำ “ถือ”

นายมงคลกล่าวว่า ส่วนหุ้นการบินนั้น คาดว่าธุรกิจของ บมจ.ท่าอากาศยานไทย(AOT) จะเริ่มค่อย ๆ ปรับตัวดีขึ้น แต่งบการเงินปีนี้ (ต.ค. 2563-ก.ย. 2564) ขาดทุนแน่นอน โดยคาดการณ์ปีนี้จะขาดทุน 14,000 ล้านบาท จากปี 2563 ที่มีกำไร 4,000 ล้านบาท ส่วนปี 2565 จะพลิกกลับมามีกำไร 3,000 ล้านบาท ให้ราคาที่เหมาะสมอยู่ที่ 72 บาท และแนะนำ “ซื้อ”

ส่วน บมจ.เอเชีย เอวิเอชั่น (AAV) คาดว่าจะขาดทุนไปอีก 2 ปี (2564-2565) โดยปีนี้คาดว่าจะขาดทุน 4,800 ล้านบาท และปี 2565 จะขาดทุน 354 ล้านบาท ให้ราคาที่เหมาะสมอยู่ที่ 2.60 บาทซึ่งเป็นราคาต่ำกว่าราคาตลาด และแนะนำ “ถือ” โดยต้องจับตาการปรับโครงสร้างทุน

อย่างไรก็ดี คาดการณ์กำไรกลุ่มธุรกิจสายการบินและโรงแรมรวม 6 บริษัท (MINT, CENTEL, ERW, AAV, AOT, BA) ปีนี้จะขาดทุน 43,000 ล้านบาท สูงขึ้นกว่าปี 2563 ที่ขาดทุน 31,000 ล้านบาท หลัก ๆ เป็นผลมาจากรายได้ของ AOT ส่วนปี 2565 คาดการณ์กำไรโดยรวมจะกลับมาอยู่ที่ 5,200 ล้านบาท ซึ่งนักลงทุนควรลงทุนปีนี้ เพราะราคาหุ้นจะดีที่สุด

“ประเมินภาพรวมการท่องเที่ยวช่วงก่อนเกิดการระบาดโควิดคลัสเตอร์ทองหล่อ ซึ่งขณะนั้นคาดการณ์ว่าประเทศไทยจะเปิดรับนักท่องเที่ยวต่างชาติได้ประมาณช่วงไตรมาส 4 ปีนี้ รับไฮซีซั่นปีนี้ได้ทัน แต่ว่าสถานการณ์โควิดระลอก 3 รุนแรง และแม้ว่าคนไทยจะมีการฉีดวัคซีนและเปิดประเทศได้ แต่จำนวนนักท่องเที่ยวคงกลับมาไม่มาก

เพราะฉะนั้นสถานการณ์ท่องเที่ยวจะค่อย ๆ เริ่มดีขึ้น และจะกลับมาดีชัดเจนในปี 2566 โดยในปี 2565 จะเป็นภาพของนักท่องเที่ยวบางประเทศที่กลับมาและบางช่วงเวลาเท่านั้น”

นายฐกฤต ชาติเชิดศักดิ์ ผู้ช่วยผู้จัดการฝ่ายวิจัย บล.เอเซีย พลัส กล่าวว่า 2 เซ็กเตอร์หลักที่ได้รับประโยชน์ภูเก็ตแซนด์บอกซ์ จะเป็นหุ้นในกลุ่มท่าอากาศยานและสายการบิน แต่ปัจจุบันหุ้นสายการบินโดยส่วนใหญ่ยังไม่แนะนำซื้อ ยังแนะนำเป็นการ switch เพราะภาพปัจจัยพื้นฐานยังไม่แข็งแกร่ง มองเป็นแค่การเก็งกำไรทั้ง AAV, BA (บมจ.การบินกรุงเทพ)

ส่วนที่แนะนำซื้อจะเป็น AOT เพราะสนามบินภูเก็ตมีสัดส่วนผู้ใช้บริการคิดเป็น 13% ของรายได้ทุกสนามบินของ AOT ดังนั้น คงได้ประโยชน์ตรง ๆ และราคาหุ้นที่ประเมินราคาเป้าหมายไว้ที่ 67 บาท กำลังเตรียมปรับเพิ่มราคาเป้าหมายใหม่

“ถ้าเป็นนักลงทุนระยะสั้น เล่นเก็งกำไรหุ้นสายการบินได้ แต่ถ้าเป็นนักลงทุนระยะกลางถึงยาว แนะนำลงทุนหุ้น AOT โดยภาพการท่องเที่ยวยังคงไม่ได้ฟื้นตัว เพราะเป็นแค่บรรยากาศเชิงบวกช่วงสั้น โดยถ้าดูตัวเลขคาดการณ์จำนวนนักท่องเที่ยวแค่ 4 ล้านคน กว่าจะกลับไปที่เดิม 40 ล้านคน ต้องใช้เวลาอีกกว่า 2 ปี

และถึงแม้จะเริ่มฉีดวัคซีนแล้ว แต่กว่าวัคซีนจะฉีดได้จนเกิดภูมิคุ้มกันหมู่ก็น่าจะเป็นช่วงไตรมาส 4 หรือต้นปี 2565 รวมถึงแต่ละประเทศเป้าหมายของไทยที่คาดหวังนักท่องเที่ยวยังไม่ได้ยกเลิกประเทศไทยออกจากลิสต์ความเสี่ยงจากโรคโควิด ซึ่งหากนักท่องเที่ยวมาไทยกลับไปต้องกักตัว 14 วัน ซึ่งจะมีผลต่อการตัดสินใจเดินทางมาท่องเที่ยว”นายฐกฤตกล่าว