ขึ้นทะลุ 1,600 จุด แต่ไม่ได้ขึ้นทุกตัว

คอลัมน์ เติมความคิดพิชิตการลงทุน
เอกภาวิน สุนทราภิชาติ บล.ไทยพาณิชย์ (SCBS)

สวัสดีครับท่านผู้อ่าน SET ขึ้นทะลุ 1,600 จุด จากความคาดหวังการฟื้นตัวของเศรษฐกิจโลก จากมีการกระจายฉีดวัคซีนเช่นเดียวกับประเทศไทยที่เริ่มกระจายการฉีดวัคซีนปูพรมไปทั่วประเทศ สร้างภูมิคุ้มกันหมู่ หนุนให้เศรษฐกิจไทยกลับมาเดินหน้าได้อีกครั้ง

อย่างไรก็ดี ยังต้องจับตา fund flow (กระแสการเคลื่อนย้ายเงินทุน) ในตลาด EM (ตลาดเศรษฐกิจเกิดใหม่), ความชัดเจนของการประชุม Fed (ธนาคารกลางสหรัฐ) ในกลางเดือนนี้ (15-16 มิ.ย.) และความกังวลเกี่ยวกับปัญหาเงินเฟ้อจากราคาวัตถุดิบปรับตัวสูงขึ้น ซึ่งอาจทำให้ตลาดยังมีความผันผวนและมีโอกาสปรับฐานได้ ทำให้แม้ขึ้นทะลุ 1,600 จุด แต่ผมยังคงมีมุมมองแบบระมัดระวัง เนื่องจากตลาดมีโอกาสปรับฐานได้ทุกเมื่อ หากเฟดส่งสัญญาณลด QE (มาตรการผ่อนคลายเชิงปริมาณ)

ด้านแนวต้านถัดไปจาก 1,600 จุด จะอยู่ที่ 1,630-1,637 และ 1,645 จุด ตามลำดับ นอกจากนี้ แม้ SET ขึ้นทะลุ 1,600 จุด แต่จะเห็นว่าเม็ดเงินที่เข้ามาในตลาดเลือกซื้อเป็นรายกลุ่มรายตัว ไม่ได้ขึ้นทั้งหมดนะครับ

ดังนั้น กลยุทธ์การลงทุนจึงต้องใช้การ selective buy โดยผมเน้นอยู่ 2 กลุ่ม กลุ่มแรกได้แก่ กลุ่มหุ้น reopen โดยแนะนำ ERW, CPN, CRC, BEM, ZEN และหุ้นวัคซีนทางเลือกอย่างกลุ่มโรงพยาบาล ซึ่งแนะนำ BCH ส่วนอีกกลุ่ม ซึ่งผมจะขอเน้นในคอลัมน์ฉบับนี้ ได้แก่ กลุ่มหุ้นขนาดกลาง และเล็ก โดยอิงจากบทวิเคราะห์ของ SCBS ซึ่งกลุ่มหุ้นขนาดกลาง และเล็ก มีความน่าสนใจจาก

1) แนวโน้มกำไรเติบโตโดดเด่น โดยมองปัจจัยภายนอกและตัวเลขเศรษฐกิจ จะมีผลต่อการเคลื่อนไหวของราคาหุ้นน้อยลง และตลาดจะกลับมาเน้นอัตราการเติบโตของกำไรเป็นสำคัญ ซึ่งจากงบฯ4Q63-1Q64 (ไตรมาส 4 ปี 2563-ไตรมาส 1 ปี 2564) พบว่า หุ้นขนาดกลางและเล็กมีอัตราการเติบโตของกำไรดีกว่าหุ้นขนาดใหญ่ อีกทั้งคุณภาพของการเติบโตอยู่ในระดับที่ดี ซึ่งเกิดจากการขยายตัวของรายได้และอัตราทำกำไร มากกว่ากำไรที่ไม่ใช่จากการดำเนินงาน

2) บริษัทขนาดเล็กส่วนใหญ่เติบโตจากการแย่งส่วนแบ่งตลาดจากกิจการขนาดใหญ่และการขยายตลาดใหม่ทำได้เร็วกว่า ต่างจากบริษัทขนาดใหญ่ที่มักเติบโตจากการขยายตัวของเศรษฐกิจโดยรวม ทั้งนี้ บริษัทขนาดเล็กจะได้เปรียบในแง่การเติบโตของกำไร ซึ่งมีสาเหตุจาก 1) กำไรเติบโตได้ง่ายเพราะฐานต่ำกว่า 2) ปรับตัวทำได้เร็วกว่า โดยเฉพาะช่วงเศรษฐกิจฟื้น และ 3) กลยุทธ์มักเน้นการ focus หากทำได้ดี กำไรจะมีการเติบโตสูง

3) ปัจจุบันหุ้นขนาดเล็กเทรด PER และ PBV 65F ที่ 14.8x (เท่า) และ 1.6x ต่ำกว่าหุ้นใหญ่ที่ 16.6x และ 1.8x ตามลำดับ ซึ่งเป็นการ discount ของหุ้นเล็กเทียบกับหุ้นใหญ่ที่ 11% ของ PER และ 13% ของ PBV แต่หากเทียบกับการเติบโตของกำไรพบว่า หุ้นเล็กและหุ้นใหญ่เติบโตใกล้กันที่ 13-14% YOY (เทียบปีก่อน) ในปี 2565

ส่วนปี 2564 หุ้นเล็กเติบโต 149% ขณะที่หุ้นใหญ่โตต่ำกว่าที่ 29% บ่งชี้ว่า หุ้นเล็กน่าสนใจในเชิงการประเมินมูลค่าหุ้นมากกว่า อีกทั้งยังมีกลยุทธ์การเติบโตที่น่าสนใจกว่าหุ้นใหญ่ จึงทำให้หุ้นเล็กมีแนวโน้มให้ผลตอบแทนสูงกว่าหุ้นใหญ่

ทั้งนี้ จากบทวิเคราะห์ของ SCBS แนะนำหุ้นกลุ่มขนาดกลาง และเล็ก ที่น่าสนใจมา 5 ตัว ได้แก่

1) CPW มีความน่าสนใจในฐานะเป็น proxy ของหุ้น Apple ในเมืองไทย มีการเติบโตของกำไรที่ระดับ 40% ปี 2564 และ 22% ในปี 2565 กับ PER ที่ระดับ 23x ปี 2565 ถือว่าไม่แพง

2) PM คาดกำไร 2Q64 (ไตรมาส 2 ปี 2564) ลดลง QOQ ตามฤดูกาล แต่เติบโต YOY จากการที่บริษัทและคู่ค้ามีแผนออกสินค้าใหม่สู่ตลาดอย่างต่อเนื่อง รวมถึงมีการขยายตัวแทนและศูนย์การกระจายสินค้า พร้อมทั้งเพิ่มช่องทางจำหน่ายออนไลน์

3) SFT คาดกำไร 2Q64 จะทำนิวไฮ เนื่องจากเป็น high season ของลูกค้ากลุ่มเครื่องดื่ม ขณะที่แนวโน้ม 2H64 (ครึ่งหลังปี 2564) จะดีขึ้น HOH (เทียบครึ่งปีแรก) และ YOY จากอุปสงค์ที่แข็งแกร่งของลูกค้าทุกกลุ่มและมีลูกค้าใหม่ รวมทั้งยังมีการรับรู้กำลังการผลิตเพิ่มขึ้นจากเครื่องจักรใหม่ในเดือน มิ.ย. หลังอัตราการใช้กำลังการผลิตตึงตัว

4) TPAC คาดปี 2564 มองกำไรจะทำนิวไฮ โดยเติบโต 30% YOY แม้ว่าจะมีฐานสูงในปี 2563 และในช่วงปี 2563-2568 จะมีการเติบโตเฉลี่ยปีละ 16% ด้วยกลยุทธ์การเติบโตทั้งแบบ organic และ inorganic บริษัทตั้งเป้าการเติบโตของ EBITDA เป็นเท่าตัวในปี 2567 จากปี 2563 หรือคิดเป็นการเติบโต 14-15% ต่อปี

5) WICE กำไรขาขึ้น โดยปี 2564-2565 คาดกำไรโตเฉลี่ยปีละ 26% จากดีมานด์ที่เพิ่มทุกช่องทาง ตามเศรษฐกิจที่ฟื้นตัวและแผนขยายฐานลูกค้าให้กว้างขึ้น ทั้งนี้ ไม่รวมดีล M&A ที่จะนำมาเสริมความแข็งแกร่งในอนาคต…แล้วพบกันใหม่ในฉบับหน้า ด้วยรัก และหวังดี