จับตาหุ้น 5 กลุ่มฟื้นไข้โควิด รับปัจจัยบวก “เปิดประเทศ” ใน 120 วัน

หุ้น

ไทม์ไลน์เปิดประเทศใน 120 วัน หนุนหุ้น 5 เซ็กเตอร์รับปัจจัยบวกคึกคัก “บล.เอเซีย พลัส” เผยกลุ่ม “แอร์ไลน์-สนามบิน-โรงแรม-ค้าปลีก-โรงพยาบาล” ได้ประโยชน์ แนะนำ “ซื้อยกแผง” เว้นหุ้นสายการบินต้องเล่น “เก็งกำไร” ฟาก “บล.เมย์แบงก์ฯ”ระบุยังต้องลุ้นฉีดวัคซีนเข็มแรกให้ได้เฉลี่ย 3.3 แสนคนต่อวัน

นายฐกฤต ชาติเชิดศักดิ์ ผู้ช่วยผู้จัดการฝ่ายวิจัย บริษัทหลักทรัพย์ (บล.) เอเซีย พลัส เปิดเผยว่า นายฐกฤต ชาติเชิดศักดิ์ ผู้ช่วยผู้จัดการฝ่ายวิจัย บริษัทหลักทรัพย์(บล.) เอเซียพลัส เปิดเผย “ประชาชาติธุรกิจ” ว่า การที่นายกรัฐมนตรีประกาศเปิดประเทศใน 120 วัน คาดว่าหุ้นธีมเปิดเมืองเปิดประเทศ  5 เซ็กเตอร์หลักจะได้เซนติเมนต์เชิงบวก ประกอบด้วย 1.หุ้นแอร์ไลน์หรือสายการบินอย่าง บมจ.เอเชีย เอวิชั่น(AAV) และ บมจ.การบินกรุงเทพ(BA) 2.หุ้นสนามบินอย่าง บมจ.ท่าอากาศยานไทย(AOT) 3.หุ้นโรงแรมอย่าง บมจ.โรงแรมเซ็นทรัลพลาซา (CENTEL) และบมจ.ไมเนอร์ อินเตอร์เนชั่นแนล(MINT)

4.หุ้นค้าปลีก โฟกัสร้านค้าที่มียอดขายในจังหวัดแหล่งท่องเที่ยว อย่าง บมจ.เบอร์ลี่ ยุคเกอร์ (BJC) บมจ.เซ็นทรัล รีเทล คอร์ปอเรชั่น (CRC) บมจ.ซีพีออลล์ (CPALL) และ 5.หุ้นโรงพยาบาล จากแนวโน้มผู้ป่วยต่างชาติเข้ามารักษาตัว(Fly-in) มากขึ้น อย่าง บมจ.โรงพยาบาลบำรุงราษฎร์ (BH) บมจ.กรุงเทพดุสิตเวชการ (BDMS) บมจ.โรงพยาบาลพระรามเก้า(PR9)

ทั้งนี้หุ้นแอร์ไลน์แนะนำเป็นเก็งกำไรตามการเดินทางท่องเที่ยวระหว่างกันมากขึ้นทั้ง AAV, BA เนื่องด้วยปัจจุบันราคาหุ้นเกินมูลค่าทางพื้นฐานไปหมดแล้ว ขณะที่หุ้นอีก 4 กลุ่มแนะนำซื้อ ทั้งหุ้นสนามบินอย่าง AOT ซึ่งปัจจุบันอยู่ระหว่างปรับราคาเป้าหมายใหม่ เพราะทิศทางการฟื้นตัวน่าจะเห็นนักท่องเที่ยวต่างชาติเข้ามามากขึ้น ซึ่งทิศทางราคาหุ้นจะปรับตัวไปก่อนปัจจัยพื้นฐานอยู่แล้ว

ขณะที่หุ้นโรงแรมอย่าง CENTEL มีสัดส่วนรายได้ในประเทศกว่า 90% ถ้าเปิดประเทศคาดว่าโรงแรมในต่างจังหวัดและร้านอาหารคงได้ประโยชน์ เช่นเดียวกับ MINT ซึ่งมีสัดส่วนรายได้ 50% ในยุโรป ซึ่งปัจจุบันดำเนินการฉีดวัคซีนไปมากแล้ว รวมไปถึงโรงแรมในมัลดีฟส์เองด้วย ขณะที่ธุรกิจโรงแรมและร้านอาหารในประเทศไทย อาทิ เคเอฟซี, สเวนเซ่นส์, บอนชอน จะได้ประโยชน์ตามมาจากมาตรการดังกล่าว

ส่วนหุ้นค้าปลีกที่ได้ประโยชน์มากสุดคือ BJC เพราะมีร้านสะดวกซื้อและห้างสรรพพสินค้า ซึ่งมียอดขายในจังหวัดแหล่งท่องเที่ยวมากกว่ารายอื่นๆ โดยมีสัดส่วนรายได้รวมประมาณ 10-15% เติบโตมาจากจังหวัดแหล่งท่องเที่ยว อาทิ ภูเก็ต, ชลบุรี เป็นต้น รองลงมาจะเป็น CRC ที่มีสัดส่วนรายได้รวมประมาณ 8% และ CPALL มีสัดส่วนรายได้รวมประมาณ 6%

และหุ้นโรงพยาบาลเด่นสุดคือ BH มีผู้ป่วยต่างชาติเข้ามารักษาตัว(Fly-in) สัดส่วนกว่า 55% ของรายได้รวม รองลงมาเป็น BDMS ซึ่งมีสัดส่วนรายได้ผู้ป่วย Fly-in ประมาณ 15% รองลงมาเป็น PR9 มีสัดส่วนรายได้ผู้ป่วย Fly-in ประมาณ 10%

นายธีรเศรษฐ์ พรหมพงษ์ นักกลยุทธ์เศรษฐศาสตร์มหภาค บมจ.หลักทรัพย์ เมย์แบงก์ กิมเอ็ง (ประเทศไทย) กล่าวว่า การส่งสัญญาณเปิดประเทศใน 120 วัน และสถานการณ์โควิดในไทย สะท้อนถึง 1.เงื่อนไขการเปิดประเทศที่ indicator คือประชาชนได้รับวัคซีนเข็มแรกครบ 50 ล้านคน หรือประมาณ 70% ซึ่งปัจจุบันฉีดเข็มแรกทั้งสิ้นประมาณ 4.9 ล้านคน ดังนั้นต้องฉีดให้ได้เฉลี่ยเฉพาะเข็มแรก 3.3 แสนคนต่อวัน เพื่อบรรลุเป้าหมายในเดือน ต.ค.

และ 2.ยืนยันการทยอยผ่อนคลายมาตรการควบคุมในประชุม ศบค.ชุดใหญ่ตั้งแต่ศุกร์นี้เป็นต้นไป ซึ่งเป็นบวกต่อกลุ่มหุ้นภาคบริการ ได้แก่หุ้น CENTEL เพราะได้อานิสงค์บวกจากนักท่องเที่ยวต่างชาติกลับมาเร็วขึ้น และฟื้นความเชื่อมั่นคนไทย กระตุ้นการท่องเที่ยวในประเทศ

หุ้น บมจ.เซ็นทรัลพัฒนา(CPN) เพราะ Pent-up Demand การใช้ชีวิตนอกบ้าน หลังความเชื่อมั่นฟื้น ก้าวผ่านสถานการณ์โควิดระลอก 3 ที่หนักที่สุด หุ้น บมจ.อาฟเตอร์ ยู(AU) ไทม์ไลน์การเปิดประเทศที่เร็วขึ้นบวกต่อธุรกิจร้านอาหาร ซึ่งน่าจะได้รับการผ่อนคลายเป็นลำดับแรกๆ และเร็วขึ้นกว่าเดิม

หุ้นบมจ.เมเจอร์ ซีนีเพล็กซ์ กรุ้ป(MAJOR) ความต้องการใช้ชีวิตนอกบ้าน ดูหนัง น่าจะเร่งตัวจาก Pent-up Demand และซัพพลายหนังฮอลีวูดที่เข้ามามากขึ้น และ AOT ได้ประโยชน์โดยตรงจากการเปิดประเทศ ปลดล็อคเที่ยวบินระหว่างประเทศเร่งตัว และคลายแรงกดดันจากส่วนลดค่าเช่