อินเดีย พลิกโฉมสู่ระบบภาษี GST

คอลัมน์ เลียบรั้วเลาะโลก

โดย ขวัญใจ เตชเสนสกุล EXIM BANK

นับตั้งแต่นายกรัฐมนตรี Narendra Modi เข้าดำรงตำแหน่งในเดือน พ.ค. 2557 อินเดียมีการปฏิรูปเศรษฐกิจครั้งใหญ่ ด้วยการชูนโยบาย Make in India ที่มุ่งดึงดูดการลงทุนโดยตรงจากต่างประเทศ (FDI) เข้าไปตั้งฐานการผลิตในอินเดีย เพื่อยกระดับภาคการผลิตและเพิ่มสัดส่วน GDP ของภาคอุตสาหกรรมเป็น 25% ของ GDP รวม ภายในปี 2565 จาก 17% ในปัจจุบัน ส่งผลให้ในปี 2558 FDI หลั่งไหลเข้าอินเดียเพิ่มขึ้นเกือบ 30% จากปี 2557 อย่างไรก็ดี อินเดียยังมีปัญหาการจัดเก็บภาษีที่มีความซ้ำซ้อนระหว่างรัฐ ซึ่งเป็นข้อจำกัดสำคัญที่เป็นอุปสรรคในการทำการค้าการลงทุนของนักลงทุนต่างชาติ สะท้อนได้จากอันดับด้านการจ่ายภาษี (Paying Taxes) ในรายงาน Ease of Doing Business 2017 ของ World Bank อินเดียอยู่อันดับ 172 ค่อนข้างรั้งท้ายจากทั้งหมด 190 ประเทศ

รัฐบาลอินเดียจึงมีแผนนำระบบภาษี GST (Goods and Services Tax) มาใช้อย่างเป็นทางการในวันที่ 1 ก.ค. 2560 เพื่อช่วยลดความซ้ำซ้อนของการจัดเก็บภาษี ซึ่งกองทุนการเงินระหว่างประเทศ (IMF) คาดว่าระบบดังกล่าวจะมีส่วนผลักดันให้เศรษฐกิจอินเดียเติบโตต่อเนื่อง จนแตะระดับ 8% ภายในปี 2564

ทั้งนี้ ในช่วงก่อนที่จะมีการปฏิรูประบบภาษี การซื้อขายระหว่างรัฐทั้ง 29 รัฐในอินเดีย มีการเรียกเก็บภาษีหลากหลายประเภท อาทิ ภาษีสรรพสามิต ภาษีมูลค่าเพิ่ม (VAT) ภาษีเข้ารัฐ (Entry Tax) ภาษีขายระหว่างรัฐ (Central Sale Tax) และภาษีผ่านแดน (Octroi Tax) ซึ่งสร้างความสับสนให้กับนักลงทุนในอินเดียเป็นอย่างมาก อีกทั้งยังทำให้มีภาระค่าขนส่งในระดับสูงจากการที่นักลงทุนจำเป็นต้องเลือกใช้เส้นทางขนส่งบางเส้นทางที่ไม่มีประสิทธิภาพเพื่อหลีกเลี่ยงการเรียกเก็บภาษีระหว่างรัฐในอัตราสูง

เมื่อมีการปฏิรูประบบภาษีในครั้งนี้ จึงมีความสำคัญเป็นอย่างมาก เนื่องจากเป็นการปฏิรูประบบการจัดเก็บภาษีทั้งประเทศให้เป็นอัตราเดียวกัน (One Nation, One Tax) ในสินค้ากว่า 500 รายการ และยังเรียกเก็บภาษีในอัตราที่ลดลงในหลายกลุ่มสินค้า ซึ่งรวมถึงสินค้านำเข้าบางประเภทด้วย

การปฏิรูประบบภาษีของอินเดียจะส่งผลดีต่อการส่งออกสินค้าของไทยไปอินเดียในหลายกลุ่มสินค้า ที่ชัดเจนได้แก่ สินค้าวัตถุดิบ อาทิ เม็ดพลาสติก ส่วนประกอบเครื่องจักรกล และชิ้นส่วนอิเล็กทรอนิกส์ ที่จะได้อานิสงส์จากภาษีนำเข้าที่ลดลง ส่งผลให้การส่งออกสินค้าวัตถุดิบของไทยไปอินเดีย ซึ่งมีสัดส่วนกว่า 40% ของมูลค่าส่งออกทั้งหมดของไทยไปอินเดีย มีแนวโน้มขยายตัวดีขึ้น สินค้าอุปโภคบริโภค อาทิ ธัญพืช นม และเครื่องปรุงรส ที่จะได้รับการยกเว้นหรือเก็บภาษีในอัตราที่ไม่สูงนัก

ล่าสุด TCI บริษัทวิจัยด้านการขนส่งของอินเดียคาดว่า ระบบ GST จะทำให้ราคาสินค้าและบริการในอินเดียลดลงเฉลี่ยราว 10% ซึ่งจะกระตุ้นให้ผู้บริโภคซึ่งกว่า 30% เป็นผู้บริโภคระดับกลางที่มีกำลังซื้อตัดสินใจบริโภคสินค้าเพิ่มขึ้น จึงนับเป็นโอกาสที่ไทยจะขยายตลาดสินค้าอุปโภคบริโภคในอินเดียได้มากขึ้น

นอกจากนี้ การปฏิรูประบบภาษีของอินเดียยังช่วยสร้างความเชื่อมั่นให้กับนักลงทุนต่างชาติ รวมถึงนักลงทุนไทยในการเข้าไปลงทุนในอินเดีย ท่ามกลางนโยบาย Make in India ที่มีเป้าหมายชัดเจนในการดึงดูดเม็ดเงินลงทุนจากทั่วทุกมุมโลกให้หลั่งไหลเข้าไปในอินเดียมากขึ้น ซึ่งจะสนับสนุนให้อินเดียก้าวขึ้นเป็นศูนย์กลางการผลิตสินค้าที่มีขนาดใหญ่ที่สุดแห่งหนึ่งของโลก (Global Manufacturing Hub) ในอีกไม่ช้า

Disclaimer : คอลัมน์นี้เป็นข้อคิดเห็นส่วนบุคคล จึงไม่จำเป็นต้องสอดคล้องกับความคิดเห็นของ EXIM BANK