ผู้บริหารกองทุน ชี้เก็บภาษีขายหุ้น 0.11% ช่วงเศรษฐกิจซบไม่เหมาะสม

หุ้นไทย-set

“ผู้บริหารกองทุน” ชี้เก็บภาษีกำไรขายหุ้น “ไม่ใช่เรื่องใหญ่-แต่ยังไม่ใช่เวลา” หวั่นเพิ่มภาระประชาชนช่วงเศรษฐกิจซบเซา เชื่อถ้าเก็บภาษีจริงนักลงทุนไม่หายเพราะวอลุ่มเทรดสูงเฉลี่ย 9 หมื่นล้านบาทต่อวัน ถึงอย่างไรก็ยังต้องลงทุนอยู่ดี แต่ฉุดกำไรโบรกเกอร์ เพราะนักลงทุนต้องไปขอส่วนลด (Discount) ตามจำนวนเรียกเก็บภาษี

วันที่ 7 กรกฎาคม 2564 นายประกิต สิริวัฒนเกตุ กรรมการผู้จัดการ แผนกกลยุทธ์การลงทุน บริษัทหลักทรัพย์จัดการกองทุน (บลจ.) เมอร์ชั่น พาร์ทเนอร์ จำกัด เปิดเผย “ประชาชาติธุรกิจ” ว่า กระแสข่าวที่รัฐบาลไทยกำลังศึกษาความเป็นไปได้สำหรับการเรียกเก็บภาษีกำไรจากการขายหุ้นเพิ่มเติมในอัตรา 0.11% จากมูลค่าของการขายหุ้น โดยมีผลเฉพาะนักลงทุนที่มีมูลค่าการซื้อขายเกิน 1 ล้านบาทต่อเดือนขึ้นไปนั้น

ประกิต สิริวัฒนเกตุ

• มีมุมมองหลัก ๆ เกี่ยวกับการเรียกเก็บภาษีกำไรจากการขายหุ้นดังนี้

1.ตอนนี้ยังไม่มีความชัดเจนออกมา แต่การเก็บภาษี Capital Gains Tax (CGT) ไม่ใช่เรื่องใหญ่ เป็นเรื่องที่เกิดขึ้นในหลาย ๆ ประเทศ แต่ไทยมีการยกเว้นมานานหลายปี

2.ต่อไปถ้ามีการเก็บอัตราภาษีกำไรจากการขายหุ้น อาจจะไม่โหดมาก อยู่ในระดับแค่ 0.1-0.2% ซึ่งต่อให้มีการเรียกเก็บภาษีจริงในระดับอัตราดังกล่าวก็จะไม่มีผลใด ๆ ต่อนักลงทุน เพราะนักลงทุนต้องลงทุนเหมือนเดิมอยู่ดี

3.ถ้าเกิดขึ้นในช่วง 2 ปีก่อนอาจจะเป็นปัญหา เพราะว่ามูลค่าการซื้อขายในตลาดซบเซา อาจจะทำให้ตลาดหุ้นยิ่งซบเซาไปกันใหญ่ แต่ปรากฏว่าปัจจุบันมูลค่าการซื้อในตลาดสูงขึ้นมาก เฉลี่ย 9 หมื่นล้านบาทต่อวัน มากกว่าเมื่อ 2 ปีที่แล้วเกือบเท่าตัว โดยในปี 2561 วอลุ่มเทรดเฉลี่ยแค่ 4-5 หมื่นล้านบาท

ส่วนจำนวนนักลงทุนมีเพิ่มขึ้นมาจาก 1.8 ล้านคน เมื่อปลายปี 2562 ตอนนี้เพิ่มขึ้นเป็น 2.6 ล้านคน หรือปรับตัวเพิ่มขึ้นกว่า 8 แสนคน จำนวนบัญชีจาก 2.5 ล้านบัญชี กลายเป็น 4.4 ล้านบัญชีในปัจจุบัน ซึ่งถือว่านักลงทุนมีจำนวนมากขึ้น ดังนั้นเก็บภาษีกำไรจากการขายหุ้นไม่เชื่อว่าจะทำให้นักลงทุนหายไป

ส่วนความกังวลว่าจะเป็นอุปสรรคต่อนักลงทุนต่างชาตินั้น มองว่าที่ผ่านมาต่อให้ไม่มีการเก็บภาษีกำไรจากการขายหุ้น ต่างชาติก็ขายหุ้นไทยมาอย่างต่อเนื่องกว่า 1 ล้านล้านบาท ตลอดตั้งแต่ปี 2556 จนถึงปัจจุบัน โดยปีนี้ขายไปแล้วอีก 7-8 หมื่นล้านบาท

4.อาจจะมีผลกระทบต่อบริษัทหลักทรัพย์ เพราะประเด็นนี้จะมีผลกระทบต่อกลุ่มกองทุนทั้งในและต่างประเทศ นักลงทุนรายใหญ่ และกลุ่มที่มีการซื้อขายสูง ซึ่งกลุ่มคนเหล่านี้จะไปจัดการกับโบรกเกอร์ โดยหากรัฐบาลเรียกเก็บภาษีเท่าไร ก็จะไปขอส่วนลด (Discount) เท่านั้น ดังนั้นต่อไปกำไรบริษัทหลักทรัพย์จะลดลง จึงเป็นผู้ที่อาจเสียหายที่สุด

5.ความเหมาะสมยังไม่ใช่เวลาเรียกเก็บภาษีกำไรจากการขายหุ้น แต่เข้าใจว่ารัฐบาลไทยมีความจำเป็นที่จะต้องหารายได้เพิ่มมากขึ้น แต่ตอนนี้สถานการณ์เศรษฐกิจไม่เอื้ออำนวย การเพิ่มภาระให้ประชาชนยังไม่ใช่เวลา ถ้าจะเก็บภาษีต้องเก็บตอนที่เศรษฐกิจมีการขยายตัวดี มูลค่าการซื้อขายหุ้นในตลาดสูง เป็นโอกาสในการเก็บภาษีเพื่อลดความร้อนแรงของเศรษฐกิจไปในตัว

“กระแสดังกล่าวเป็นแนวทางที่ไม่ใช่เรื่องใหญ่ แต่ยังไม่ใช่เวลาที่จะทำ และความไม่ชัดเจนเยอะมาก เพราะเป็นแค่กระแสข่าวที่รายงานจากสำนักข่าว Reuters แค่เจ้าเดียว ยังเป็นแค่การโยนหินถามทางอยู่” นายประกิต กล่าว